“ดอลลาร์อ่อน”...กับการกลับมาของ ‘ตลาดเกิดใหม่’
>> ช่วง 10 ปี กว่าที่ผ่านมา ตั้งแต่หลังวิกฤติเศรษฐกิจในปี2008 นั้น จะเห็นการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องใน “ตลาดพัฒนา” แล้ว นำโดย ‘สหรัฐ’ เป็นสำคัญ และทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐเองปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ช่วง 10 ปี กว่าที่ผ่านมา ตั้งแต่หลังวิกฤติเศรษฐกิจในปี2008 นั้น จะเห็นการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องใน “ตลาดพัฒนา” แล้ว นำโดย ‘สหรัฐ’ เป็นสำคัญ และทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐเองปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ในปีที่แล้ว “กองหุ้นสหรัฐ” จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ 8.21% ก็ตาม แต่ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี และ 5 ปี (ณ วันที่ 31 ธ.ค. 19) ก็ยังเฉลี่ยอยู่ที่ 4.13% ต่อปี และ 5.81% ต่อปี ตามลำดับ ซึ่งไม่น้อยเลยสำหรับตลาดพัฒนาแล้วเช่นนี้
ต่างกับภาพของ “ตลาดเกิดใหม่” ที่ดูไม่ค่อยดีนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ “ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ” ที่ ‘แข็งค่า’ ขึ้นในช่วงที่ผ่านมานั่นเอง ในปี18 “กองหุ้นตลาดเกิดใหม่” ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ 16.17% ย้อนหลัง 3 ปี และ 5 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 4.63% ต่อปี และติดลบ 1.51% ต่อปี ตามลำดับ ส่วน “กองตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่” นั้น ในปี18 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ 6.34% และย้อนหลัง 3 ปี และ 5 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 2.38% ต่อปี และ 0.25% ต่อปี ตามลำดับ ภาพรวมดูจะดีกว่าหุ้นตลาดเกิดใหม่ด้วยซ้ำเข้าสู่ปี 2019 ได้เพียง 1 เดือน เมื่อทิศทางของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกลับมา ‘อ่อนค่า’ ลง ก็ทำให้ภาพ “ตลาดเกิดใหม่” กลับมาดูโดดเด่นขึ้น ด้วยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ยังดีอยู่ ผสานกับแนวโน้มของค่าเงินในภูมิภาคที่มีแนวโน้ม ‘แข็งค่า’ ขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐด้วยเช่นกัน โดย 1 เดือนที่ผ่านมา ‘กองหุ้นตลาดเกิดใหม่’ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7.65% เช่นเดียวกับ ‘กองตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่’ ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.22% ต่อปี
“ศุภกร ตุลยธัญ” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มจัดสรรสินทรัพย์และกองทุนต่างประเทศ บลจ.ไทยพาณิชย์ จำกัด บอกว่า ช่วงปี18 หุ้นตลาดเกิดใหม่ปรับตัวลงแรง นักลงทุนบางคนก็ถามมาว่าควรจะขายทิ้งหรือไม่เพราะลงมากว่า 20% แล้ว ส่วนตัวก็แนะนำว่าถ้าถือจนลงมาระดับ 20% แล้ว ทนถือต่อไปดีกว่าเพราะมันไม่ใช่จังหวะในการขายแล้ว ถ้าจะขายตัดขาดทุน (Cut loss) ต้องทำไปก่อนหน้านี้ในขณะที่ขาดทุนยังไม่มากนักมากกว่า ที่สำคัญจากสถิติของ ‘หุ้นตลาดเกิดใหม่เอเชีย’ เองก็มีค่าความผันผวนเฉลี่ยประมาณ 20% เช่นกัน นั่นหมายความว่าในปีที่แล้วมันปรับลงมาจนถึง ‘จุดต่ำสุด’ ของการปรับตัวแล้ว ทั้งที่พื้นฐานทางเศรษฐกิจของ “ตลาดเกิดใหม่” ไม่ได้แย่ลงแต่ประการใด การทนถือข้ามปีมายังมีโอกาสจะตีตื่นขึ้นมาได้ แต่ถ้าขายในตอนนั้นก็ ‘ขาดทุน’ แน่นอนอีกทั้งยังจะเป็นการไปขายทิ้งในช่วงต่ำสุดของตลาดด้วย ที่สำคัญ ตลาดเกิดใหม่ปรับตัวลงมาจน ‘มูลค่า’ กลับมาน่าสนใจ
“เรายังชอบตลาดเกิดใหม่ และชอบ ‘หุ้น’ มากกว่า ‘ตราสารหนี้’ หากดูขนาดเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่มีสัดส่วนประมาณ 45% ของเศรษฐกิจโลก ในขณะที่ ‘หุ้นตลาดเกิดใหม่’ มีสัดส่วนเพียง 29% ของหุ้นโลกเท่านั้น เช่นเดียวกับ ‘ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่’ ที่มีสัดส่วนเพียง 16% ของตลาดตราสารหนี้โลก ด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและบทบาทที่สำคัญของตลาดเกิดใหม่ ในขณะที่ยังมีสัดส่วนในตลาดการเงินโลกไม่มากนัก ตลาดเกิดใหม่จึงยังมีโอกาสเติบโตขึ้นอีกมากในอนาคตให้สอดคล้องกับภาพของเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ที่มีบทบาทมากขึ้นนั่นเอง”
‘ตลาดเกิดใหม่’ เศรษฐกิจยังคงเติบโตได้ดีกว่า ‘ตลาดพัฒนาแล้ว’ เพียงแค่ชะลอตัวลงเท่านั้น แต่ปกติ “ค่าเงินดอลลาร์” จะแปรผกผันกับ ‘หุ้นตลาดเกิดใหม่’ ในปี18 ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า หุ้นตลาดเกิดใหม่ก็เลยแย่ไปด้วย นอกจากนี้ “ราคาน้ำมัน” ที่ปรับตัวสูงขึ้นในปี18 เมื่อเทียบกับปี17 ก็เป็นปัจจัยลบทำให้ต้นทุนการผลิตของบริษัทจดทะเบียนในตลาดเกิดใหม่สูงขึ้น กระทบต่อกำไรบริษัทจดทะเบียน แต่สิ่งที่ดีของหุ้นตลาดเกิดใหม่ คือ กำไรยังมีการเติบโตแม้จะเป็นการเติบโตที่ลดลงก็ตาม โดยเฉพาะประเทศที่มีการนำเข้าพลังงานเข้ามาค่อนข้างมากก็ส่งผลกระทบต่อดุลบัญชีเดินสะพัดเช่นกัน
“นอกจากนี้ตลาดเกิดใหม่เศรษฐกิจยังอยู่ใน Mid Cycle อยู่ในภาวะค่อยฟื้นตัวจาก ‘จุดต่ำสุด’ และยังไม่ถึง ‘จุดสูงสุด’ จึงไม่ต้องกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยมากนัก ประกอบกับ ‘นโยบายการเงิน’ ในตลาดเกิดใหม่ก็ยังเอื้อต่อการเติบโตของเศรษฐกิจด้วย จึงยังเป็นภูมิภาคที่ยังคงน่าสนใจลงทุน ถ้าสามารถรับความเสี่ยงได้ แบ่งเงินมาลงทุนบางส่วนมาตลาดเกิดใหม่บ้างก็เป็นกลยุทธ์ในการกระจายความเสี่ยงที่ดี โดยตลาดเกิดใหม่ที่เราชอบ คือ เอเชีย”
เมื่อ “ดอลลาร์” มีแนวโน้ม ‘อ่อนค่า’ ในปีนี้ จึงไม่น่าแปลกใจว่า “ตลาดเกิดใหม่” จะเป็นหนึ่งในเป้าหมายของเม็ดเงินลงทุนจากทั่วโลก ด้วยเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่า ‘ตลาดพัฒนาแล้ว’ กำไรบริษัทจดทะเบียนที่ยังคงเติบโตในระดับที่สูง แม้จะชะลอตัวลงบ้างก็ตาม ประกอบกับค่าเงินในภูมิภาคนี้ที่มีแนวโน้มจะ ‘แข็งค่า’ ขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ ก็ทำให้ภูมิภาคนี้จะยังคงเป็นดาวเด่นในปีนี้อย่างแน่นอน