“บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล”…ขยายเวลาขอมติถึง 31 พ.ค. 19

>>

“บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล”...ขยายเวลาใช้สิทธิลงมติแก้ไขโครงการ กอง CIMB-PRINCIPAL iPROP’ ถึง 31 พ.ค. 19 หวังปลดล็อคเปิดทางลงทุน กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน เป็นคอร์พอร์ตได้ ตอบโจทย์การเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว

หลังจากทาง “บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล” ได้ขอมติจากผู้ถือหน่วยเพื่อแก้ไขโครงการของ ‘กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม (CIMB-PRINCIPAL iPROP)’ ไปแล้วนั้น โดยขอมติกลับมาระหว่าง 1 มี.ค. – 1 เม.ย. 19 อย่างไรก็ตามด้วยจำนวนผู้ถือหน่วยมีมากประกอบกับระยะเวลาการลงมติไว้เดิมมีระยะเวลาที่จำกัด จึงได้ขยายเวลาการลงมติความเห็นชอบออกไปเป็น 1 มี.ค.-31 พ.ค. 19 โดยจะมีกระบวนการนับและสรุปผลหลังวันที่ 31 พ.ค.19 เป็นต้นไป

นายวิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม (CIMB-PRINCIPAL iPROP) เป็นหนึ่งในกองทุนเรือธง (Flagship) ของบริษัทมีการเติบโตที่ดีมากจากที่เคยมีขนาดประมาณ 3,000 ล้านบาท เพิ่มเป็น 12,000 ล้านบาท หรือโตขึ้นมาแล้วกว่า 3 เท่า และยังเป็นกองที่มีอัตราการจ่ายปันผลที่ดีอย่างสม่ำเสมอ

ปัจจุบัน ‘กอง CIMB-PRINCIPAL iPROP’ ยังเน้นการลงทุนใน ไทย ได้แก่ การลงทุน Property Fund และ REIT กลุ่มออฟฟิศและค้าปลีก ที่มีอุปทานใหม่ค่อนข้างจำกัดและค่าเช่าปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เน้นการลงทุน REIT ใน สิงคโปร์ ที่มีการจ่ายปันผลดี และมีมุมมองเชิงบวกกับกลุ่ม Business Park และดาต้า เซ็นเตอร์ ที่มีซัพพลายใหม่จำกัด

 
( นายวิน พรหมแพทย์ )

 

“นอกจากกลุ่มกองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัสต์เพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) แล้ว ยังมีอีกกลุ่มที่น่าสนใจและมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องนั่นคือ ‘กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund)’ ราคาเคลื่อนไหวขึ้นลงน้อยกว่าในขณะที่อัตราผลตอบแทน (Yield) ไม่ได้แพ้กันเลย ในช่วงปี15-18 กลุ่มกองทุนอสังหาริมทรัพย์และ REIT มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 3% ต่อปี

ในขณะที่กองทุนโครงสร้างพื้นฐานเติบโตเฉลี่ย 19% ต่อปี นั่นทำให้มูลค่าตลาดของกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 199 พันล้านบาทในปี15 เป็น 339 พันล้านบาท ณ สิ้นปี18 ใกล้เคียงกับมูลค่าตลาดของกลุ่มกองอสังหาริมทรัพย์และ REIT ที่ประมาณ 377 พันล้านบาท และยังมีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นต่อเนื่องจนมีขนาดแซงหน้ากลุ่มกองทุนอสังหาริมทรัพย์และ REIT ได้ในอนาคตด้วยเช่นกัน”

นายวิน ยังกล่าวอีกว่า ตอนที่ตั้ง ‘กอง CIMB-PRINCIPAL iPROP’ นั้น ยังไม่มีกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมที เพิ่งมามีในปี14 นโยบายลงทุนของ ‘กอง CIMB-PRINCIPAL iPROP’ ยังคงต้องลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ,REIT ไทยและสิงคโปร์ เฉลี่ยไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุน เป็น Core Port ที่เหลือเป็น Non Core ไม่เกิน 20% ซึ่งปัจจุบัน ‘กอง CIMB-PRINCIPAL iPROP’ ก็ลงในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานอยู่ประมาณ 10% ซึ่งเป็นข้อจำกัดและทำให้เสียโอกาสในการลงทุนไป

“บริษัทจึงได้ทำเรื่องขอมติจากผู้ถือหน่วยลงทุนเพื่อแก้ไขโครงการของ ‘กอง CIMB-PRINCIPAL iPROP’ ให้สามารถลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐานได้ไม่จำกัดอัตราส่วน ซึ่งสามารถลงทุนเป็น Core Port ได้ต่างจากปัจจุบันที่ถูกจำกัดอยู่ นั่นจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับกองทุนในการปรับพอร์ตและเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐานด้วย และประโยชน์สูงสุดก็จะเกิดกับผู้ถือหน่วยเอง”

นายวิน กล่าวเพิ่มเติมว่า การลงทุนในกองทุน Property Fund และ REIT ยังคาดหวังว่าจะให้โอกาสรับผลตอบแทนในรูปของ Income ในอัตราประมาณ 5-7% ต่อปี โดย ‘กอง CIMB-PRINCIPAL iPROP’ เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรับผลตอบแทนอย่างเหมาะสมในภาวะตลาดหุ้นผันผวน แนะนำให้ถือลงทุนระยะยาวไม่ต่ำกว่า 3-5 ปี เชื่อว่ากองทุนนี้จะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน