หุ้น BEM ร่วงหลังทำ ALL TIME HIGH
เสี่ยหนูปัดไม่เกี่ยวข้องข่าวลือยกเลิกขยายสัมปทาน

>>

ยังไม่ทันเริ่มงานก็มีข่าวซะแล้ว สำหรับรัฐบาลชุดใหม่ของพลเอก ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2  ที่ล่าสุดยังจัดคณะรัฐมนตรีไม่แล้วเสร็จ แต่มีกระแสข่าวบนหน้าสื่อว่า มี “ว่าที่” รัฐมนตรีบางคนเข้าไปเรียกข้าราชการบรีฟงานสำคัญให้รับทราบ แถมมีกระแสข่าวถึงว่า  เสี่ยหนู อนุทิน  ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย   มีแนวความคิดจะไม่ต่อสัญญาสัมปทานทางด่วนอีก 30 ปี ระหว่าง บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน)  BEM กับ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย  หรือ กทพ. เพื่อแลกกับการยุติข้อพิพาท ระหว่างกัน ทันทีที่มีกระแสข่าวนี้ออกมาในห้องค้าหุ้น  หุ้น BEM จากที่อยู่ระหว่างการทำ All Time High ที่ 12.00 บาท ก็ร่วงทันที ทำให้เกิดคำถามมากมายว่า เรื่องนี้จริงหรือไม่ และ หุ้น BEM จะฟื้นได้จริงหรือเปล่า

 


เสี่ยหนูยันผ่านทีวี อย่ามโน ใครทำแบบนั้นเท่ากับเขียนใบลาออก !!

ทันทีที่มีกระแสข่าว เสี่ยหนู ได้ออกมาแก้ข่าวทันที โดยชี้แจงผ่านรายการ  “เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand” โดยเผยว่า อย่ามโน เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการหารือพรรคการเมืองที่จะร่วมรัฐบาล  และวันที่จะเข้าไปทำงานก็ต่อเมื่อได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯอย่างเป็นทางการเท่านั้น มั่นใจว่าในพรรคไม่มีใครไปทำแบบนั้น ส่วนตัวยังไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อนและไม่เคยทำ ถ้าใครทำแบบนั้นจริงก็เท่ากับเขียนใบลาออกจากพรรค

 

ทั้งนี้ส่วนตัวไม่เห็นประโยชน์ว่า จะไปยกเลิกไม่ต่อสัญญาสัมปาทานเช่นนั้นเพื่ออะไร อย่างกรณีของ BEM จากการติดตามข่าว มีคำพิพากษาชัดเจน ทุกคนต้องทำตาม ถ้าไม่ทำตามอีกหน่อยใครจะมาเป็นคู่สัญญากับภาครัฐ

 


ไม่เกี่ยวข้องกับ  STEC

ส่วนประเด็นที่ครอบครัวถือหุ้นใหญ่อยู่ใน บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) ยืนยันว่า ผมออกจากบริษัทตั้งแต่บริษัท 2547 ตั้งแต่เป็นรัฐมนตรีครั้งแรก ไม่เคยยุ่งกับ STEC เลย ถือหุ้นอยู่จำนวนไม่มาก


ซึ่งเข้าใจว่า การที่ครอบครัวถือหุ้น STEC นั้น ทำให้ สุดท้ายทุกคนมาจบประเด็นนี้ STEC เป็นคู่แข่งกับบริษัทรับเหมาก่อสร้างต่างๆ และทำให้เกิดความคิดว่าจะกีดกันคู่แข่ง วันนี้ STEC เป็นพันธมิตรกับ บริษัท ช.การช่าง จำกัด(มหาชน)  CK ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของBEM  ในการสร้างรถไฟสายสีส้ม แล้วจะมาฆ่ากันเองทำไม ซึ่ง BEM เป็นธุรกิจสัมปทาน  ซึ่งผมเข้าใจว่าทางครอบครัว ม่มีนโยบายในการทำธุรกิจสัมปทานกับภาครัฐ ครอบครัวถึงเน้นทำธุรกิจที่เร็วๆและจบไป


ส่วนการที่STEC เข้าไปประมูลสัมปทานที่รถไฟฟ้าเชื่อมสนามบินกับพันธมิตรนั้น เท่าที่ทราบ ความสนใจของบริษัทครอบครัว คือ การก่อสร้างอย่างเดียว ส่วนจะเป็นพันธมิตรอย่างไร  ซึ่งที่ผ่านมายอมรับว่ามีกลุ่ม นักลงทุน และ ผู้จัดการกองทุนเชิญไปบรรยาย 10 กว่าราย ไม่ได้มีการพูดถึงกรณี BEM แต่อย่างใด

 


เมย์แบงก์ ประเมินอาจกระทบให้การเจรจาล่าช้า

ด้าน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)  ประเมินสถานการณ์นี้ว่า ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ในข้อพิพาทระหว่าง BEM กับ กทพ. คือ อาจกระทบให้การเจรจาขยายสัมปทาน อาจล่าช้าออกไปประมาณ 1-3 เดือน  ทั้งนี้สัมปทานในเส้นทางดังกล่าวจะมีอายุสิ้นสุดอายุในช่วงไตมาสที่ 1 ของปี 2563 ฉะนั้นการเจรจามีเวลาค่อนข้างจำกัด


ในขณะเดียวกันศาลปกครองและอนุญาโตตุลาการ ได้เริ่มตัดสินให้กทพ.ชำระค่าเสียหายแก่ BEM ในบางคดีแล้ว โดยรวมมูลหนี้ทั้งหมด 6.0 หมื่นล้านบาท ช่วงที่ผ่านมาพบว่า BEM และกทพ.ได้มีการเจรจาไปบางส่วนแล้ว เช่น การเจรจาสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 จาก 37 ปี เหลือ 30 ปี เป็นต้น ซึ่งบล.อยู่ระหว่างการติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม โดยระหว่างนี้ผู้ลงทุนยังทยอยซื้อที่ 10.80 บาท และ 11.00 บาทได้


ส่วน บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ประเมินว่า ภาพของ BEM ในระยะยาววยังคงเป็นบวกเหมือนเดิม โดยในอนาคต จะมีโครงการเด่นที่น่าสนใจสามโครงการ ได้แก่   การประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม (เดินรถ)   การประมูลรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ (ก่อสร้างและเดินรถ) และ   การต่อสัญญาทางด่วนซึ่งจะหมดอายุในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งผลบวกจากการขยายสัญญาทางด่วนจะเริ่มส่งผลตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป ซึ่งบล.เชื่อว่าเชื่อว่า บริษัทจะได้อานิสงส์จากการที่ค่าใช้จ่าย depreciation และ amortization ลดต่ำลงกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากมีการต่ออายุสัมปทานนานขึ้น


ทั้งนี้บล.เคจีไอ  ยังคงคำแนะนำซื้อ และให้ราคาเป้าหมายที่ 11.10 บาท ถึงแม้ราคาหุ้นจะวิ่งมาชนราคาเป้าหมายของเราแล้ว แต่เรามองว่ายังมี upside เพิ่มอีกจาก i) โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม 0.9 บาท/หุ้น และ ii) การขยายอายุสัญญาทางด่วนอีก 30 ปี ซึ่งจะทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มอีก 1.25 บาท/หุ้น 


อย่างไรก็ตามการปรับตัวลงของ BEM รอบนี้อาจจะได้รับผลกระทบจากข่าวที่ทำให้ราคาหุ้นร่วงลง แต่ในอีกด้านหนึ่งของข้อมูลก็พบว่าตั้งแต่ต้นปี ราคาหุ้น BEM ปรับเพิ่มขึ้นมาแล้วมากกว่า 17 %  ดังนั้นอาจเป็นจังหวะที่เผชิญกับแรงขายทำกำไรออกมาก็ได้  และในขณะเดียวกัน ราคาหุ้นในปัจจุบันอยู่ในระดับใกล้เคียงกับราคาที่เหมาะสม ของหลายสำนักงานวิจัยได้ทำไว้ ผู้ลงทุนอาจต้องศึกษาข้อมูลอย่างครบถ้วน

 

 

             

 

 

ขอบคุณข้อมูล

หนังสือพิมพ์ ข่าวหุ้นธุรกิจ  13 มิถุนายน

https://www.facebook.com/insidethailand/videos/306573760253604/?epa=SEARCH_BOX