ส่องปัจจัยเปลี่ยนตลาดไทย จากหุ้นหมีเป็นกระทิง

เมื่อต่างชาติไม่สนการเลือกตั้ง

>>

ตลาดหุ้นในปี 2561 ที่ผ่านมา มีความผันผวนจากปัจจัยลบ ราคาน้ำมัน การเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน และนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทำให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นเกิดใหม่ที่เงินทุนไหลออกต่อเนื่อง ซึ่งประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบดังกล่าวเช่นเดียวกัน 

จากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) สิ้นปี 2561 ปิดที่ 1,563.88 จุด ลดลง 10.8% จากสิ้นปีก่อน และปรับตัวลดลง 1.6% จากสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2561 โดยนักลงทุนต่างประเทศเทขายในตลาดหุ้นไทยรวม 287,696 ล้านบาท เป็นการขายสูงสุดในช่วงไตรมาส 2/2561 ก่อนจะค่อยๆ ลดลงในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในเอเชีย 




ประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะหลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) มองภาพรวมตลาดหุ้นไทยเคยเข้าสู่ช่วงตลาดหมี (Bear Market) แล้วช่วงปลายปีก่อน ตอนนี้ดัชนีฯ กำลังฟื้นตัวในระยะสั้น จากแนวโน้มที่ดีหลายอย่าง โดยเงินเริ่มออกจากสินทรัพย์ปลอดภัยเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) จากปัจจัยสนับสนุน เช่น นโยบายการเงินของเฟดที่ผ่อนคลายมากขึ้น การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนมีทิศทางที่ดี ทำให้ตลาดเกิดใหม่ฟื้นตัว รวมไปถึงตลาดหุ้นสหรัฐและสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง 

และมีความเป็นไปได้สูงที่เงินจะไหลกลับเข้าตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทย ซึ่งต้องรอดูความชัดเจนหลังการเลือกตั้งอีกครั้ง รวมถึงตอนนี้ตลาดหุ้นมีระดับราคาไม่แพงมาก P/E อยู่ที่ 14 เท่า โดยคาดตอบแทนตลาดหุ้นปีนี้ประมาณ 3% แต่กำไรต่อหุ้น (Earnings Per Share) ยังมีความเสี่ยง คาดว่าโตราว 7-8% ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจ (GDP) คาดจะเติบโต 4% แต่ถ้าถามว่าตอนนี้ตลาดหุ้นไทยน่าสนใจในสายตานักลงทุนต่างชาติหรือยัง มองว่าอยู่ในระดับปานกลาง P/E ไม่ถูกและแพงจนเกินไป เพราะการเลือกตั้งยังไม่ชัดเจน ถ้าอยากให้นักลงทุนต่างชาติเสี่ยงเข้ามาลงทุน P/E อาจต้องถูกกว่านี้

โดยปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม เป็นการทำข้อตกลงแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ของอังกฤษ ถ้ารัฐบาลไม่รับรองข้อตกลง อาจทำให้ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบและปรับตัวลงตามตลาดหุ้นยุโรป และการเลือกตั้งที่ขณะนี้มีความเป็นไปได้สูงว่าสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะกำหนดวันเลือกตั้งและประกาศผลไม่เกินวันที่ 9 พฤษภาคม 2562 เพราะหากการเลือกตั้งเสร็จสิ้นภายในเดือนมีนาคมนี้ กกต. จะมีเวลาในการรับรองผลนานขึ้น ซึ่งยังอยู่ระหว่างรอพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง 



ปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บล. ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด มองว่าเงินทุนจากต่างชาติจะเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ในปีนี้ รวมถึงถึงตลาดหุ้นไทยด้วย เพราะเฟดน่าจะขึ้นดอกเบี้ยปีนี้เพียง 1 ครั้ง หรืออาจไม่ปรับขึ้นเลยก็ได้ ซึ่งทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง และมองว่าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนน่าจะคลี่คลายในทางที่ดี อีกทั้งปีก่อนตลาดหุ้นเกิดใหม่ปรับตัวลงมาก ทำให้มีมูลค่าน่าสนใจ เชื่อว่าถ้านักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อในตลาดหุ้นไทยจะทำให้ดัชนีมีโอกาสขึ้นไปที่ระดับ 1,850 จุด ซึ่งมีค่า P/E ประมาณ 14.8 เท่า

นอกจากนี้ ยังพบว่านักลงทุนจากจีนสนใจเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น ทั้งซื้อกิจการหรือร่วมทุน และเข้ามาลงทุนโดยตรง จากการสนับสนุนนโยบาย EEC ซึ่งสร้างแรงจูงใจในการลงทุน รวมถึงไทยกำลังจะมีการเลือกตั้ง ทำให้ปลดล็อคความกังวลด้านการเมืองได้ โดยนักลงทุนจีนสนใจธุรกิจพลังงานไฟฟ้า และธุรกิจด้านโครงการสาธารณูปโภค เห็นได้จากกลุ่มซีพีซึ่งร่วมกับบริษัทจากจีนเข้าประมูลโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รวมถึงธุรกิจโรงแรม และธุรกิจโรงพยาบาลอีกด้วย

ส่วนการเลือกตั้งมองว่า กองทุนต่างชาติไม่ได้สนใจว่าจะมีการเลือกตั้งในช่วงใดของปีที่ผ่านมาเป็นกองทุนในประเทศที่คาดหวังกับการเลือกตั้งมากกว่า โดยกองทุนต่างชาติสนใจเรื่องรัฐบาลใหม่ที่จะเกิดขึ้นมากกว่าว่า จะสามารถบริหารประเทศได้ต่อเนื่องหรือไม่



ด้านมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด แชร์มุมมองว่าตอนนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาราว 14% นับจากระดับสูงสุดที่ 1,852 จุด ก่อนจะรีบาวด์กลับหลังจากนักลงทุนคลายความกังวลจากราคาน้ำมันและการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ถ้าถามว่ามีโอกาสที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวลงแรงกว่านี้หรือไม่ ส่วนตัวมองว่าขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย คือ ข่าวสารเชิงลบที่จะเข้ามากระทบ และกำไรของตลาดหุ้นกับเศรษฐกิจซึ่งสอดคล้องกัน โดยแนวรับสำคัญของดัชนีอยู่ที่ 1,524 จุด บนพื้นฐาน P/E 14 เท่า หากกำไรตลาดหุ้นไม่ได้ปรับตัวลดลง มองว่าดัชนีไม่น่าจะหลุดแนวรับสำคัญดังกล่าว 

จากความคิดเห็นนักวิเคราะห์หลาย บล. มองว่าปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นมีแนวโน้มดีขึ้น ทำให้ดัชนีค่อยๆ ฟื้นตัว และตอนนี้ตลาดหุ้นไทยมีระดับราคาไม่แพง เป็นโอกาสให้นักลงทุนเก็บสะสมหุ้นบางบริษัทที่ราคาปรับลงต่ำ รวมถึงมีโอกาสที่เงินจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยภายหลังการเลือกตั้ง ซึ่งต้องวันเวลาที่ชัดเจนจากรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง หวังว่าปีนี้เราจะได้เห็นนักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง ช่วยสนับสนุนบรรยากาศการลงทุนและดัชนีให้ปรับตัวดีขึ้น