‘พริมา มารีน’ มั่นใจความต้องการใช้บริการเรือขนส่งปิโตรเลียมขยายตัว หนุนศักยภาพธุรกิจดันการเติบโต 10-15%
>> บมจ.พริมา มารีน’ หรือ (“PRM”) เดินเกมขยายพอร์ตกองเรือขนส่งปิโตรเลียมและปิโตรเคมีเหลวทางทะเล หนุนศักยภาพการดำเนินธุรกิจตอกย้ำความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม
‘บมจ.พริมา มารีน’ หรือ (“PRM”) เดินเกมขยายพอร์ตกองเรือขนส่งปิโตรเลียมและปิโตรเคมีเหลวทางทะเล หนุนศักยภาพการดำเนินธุรกิจตอกย้ำความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม รับการเติบโตของการใช้บริการเรือขนส่งปิโตรเลียมทางทะเลที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณความต้องการใช้พลังงานในประเทศ ดันทุกกลุ่มธุรกิจเติบโต ทั้งกลุ่มเรือขนส่งในประเทศ เรือขนส่งระหว่างประเทศ เรือขนส่งและกักเก็บฯ (FSU) เรือให้การสนับสนุนการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (FSO) และธุรกิจบริหารจัดการเรือ มั่นใจปีนี้เติบโต 10-15%
นายชาญวิทย์ อนัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM ผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีเหลวทางเรืออย่างครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เปิดเผยว่า แผนงานดำเนินธุรกิจในปีนี้ PRM จะมุ่งสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งของพอร์ตกองเรือ เพื่อเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจและประสิทธิภาพการให้บริการแก่ลูกค้า รองรับกับความต้องการใช้บริการเรือขนส่งน้ำมันทางทะเลที่เพิ่มขึ้น ตามการเติบโตของความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อทุกกลุ่มธุรกิจของ PRM ให้เติบโตได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนลงทุนเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ทุกกลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจเรือขนส่งปิโตรเลียมภายในประเทศ ที่จะมุ่งเน้นด้านคุณภาพบริการและเพิ่มปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้น โดยมีแผนรับเรือที่สั่งต่อใหม่จำนวน 6 ลำ ขนาด 3,000 DTW แบ่งเป็นของ PRM จำนวน 5 ลำ และบิ๊กซี1 ลำ ให้แล้วเสร็จในครึ่งปีแรกของปีนี้ จากปัจจุบันที่ PRM มีเรือขนส่ง 14 ลำ และบิ๊กซีอีก 12 ลำ ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณการขนส่งต่อเที่ยวและเพิ่มความถี่ในการให้บริการเรือขนส่งปิโตรเลียมภายในประเทศ หรือมีความสามารถให้บริการเพิ่มขึ้นมากกว่า 5,000 ล้านลิตรต่อปี รวมถึงเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจให้บริการขนส่งปิโตรเลียมและปิโตรเลียมเหลวทางเรือจากเดิมที่มีอยู่ 49%
( ชาญวิทย์ อนัคกุล )
ส่วนกลุ่มเรือขนส่งปิโตรเลียมระหว่างประเทศนั้น มีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากอัตราค่าบริการขนส่งเพิ่มขึ้น โดยหากยังมีสัญญาณต่างๆ อยู่ในเกณฑ์ที่ดี บริษัทฯ จะพิจารณาจัดหาเรือขนส่งขนาดใหญ่ ที่มีขนาดบรรทุก 40,000-50,000 DTW เข้ามาประจำการเพิ่มเติม
ขณะที่กลุ่มธุรกิจเรือขนส่งและกักเก็บฯ (FSU) ปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาลงทุนเพิ่มเรืออีก 1-2 ลำ หลังจากที่มีแนวโน้มความต้องการของตลาดการใช้เรือเพื่อกักเก็บเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าเรือลำแรกจะเริ่มให้บริการในช่วงต้นไตรมาส 2/2562 ซึ่งจะส่งผลดีต่อขีดความสามารถการให้บริการที่เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่มีอัตราการใช้บริการมากกว่า 90% ของจำนวนเรือขนส่งและกักเก็บที่ให้บริการอยู่ 5 ลำ
ส่วนกลุ่มธุรกิจเรือที่ให้การสนับสนุนการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (Offshore) นั้น บริษัทฯ จับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการ เช่นเดียวกับกลุ่มธุรกิจบริหารจัดการเรือ ที่บริษัทฯ จะมุ่งมั่นรักษามาตรฐานการให้บริการตลอดจนยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยให้ดียิ่งขึ้น
“ปีที่ผ่านมาเราเน้นปรับพอร์ตกองเรือเพื่อให้สอดรับกับภาพรวมอุตสาหกรรม แต่ในปีนี้เรามุ่งเน้นสร้างความเข้มแข็งให้แก่ทุกกลุ่มธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ หลังมีปัจจัยเชิงบวกที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรม ทำให้เรามีแผนขยายขนาดกองเรือที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 40 ลำ จากปัจจุบันที่มีอยู่ 36 ลำ ส่งผลให้PRM สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และสามารถเก็บเกี่ยวรายได้สูงสุดเพื่อผลักดันผลการดำเนินงานในปี 2562 ให้เติบโตได้ 10-15%” นายชาญวิทย์ กล่าว
ศึกษาข้อมูลธุรกิจเพิ่มเติมที่ได้ investor-th.primamarine.co.th/