ตลาดหุ้นรอปัจจัยบวกใหม่ จับตาผลเจรจาการค้าสหรัฐ-จีนต่อเนื่อง

>>

บล. เอเอสแอล

มองว่าตลาดหุ้นไทยวันนี้ (20 ก.พ. 2562) แกว่งตัวผันผวน และยังมีแรงขายเมื่อดัชนีกลับตัวขึ้นเข้าใกล้แนวต้าน 1,650 แนวโน้มตลาดยังคงลักษณะขึ้นขาย-ลงซื้อ เพื่อรอดูปัจจัยบวกใหม่เข้ามากระตุ้น เรื่องผลประกอบการที่ประกาศออกมาเป็นหลัก ระยะสั้นติดตามรายงานการประชุมของเฟดคืนนี้ ว่าจะส่งสัญญาณดอกเบี้ยอย่างไร รวมถึงติดตามการประชุมการเจรจาการค้าสหรัฐ-จีน ในวันพฤหัสฯและวันศุกร์ที่กรุงวอชิงตัน ทั้งนี้ ตลาดคาดว่าจะมีการตกลงกันได้หรืออาจจะเลื่อนเส้นตายการจัดเก็บภาษีของสหรัฐในวันที่ 1 มี.ค. 2562 ออกไป

 

บล.ฟินันเซีย ไซรัส

คาดว่า SET Index จะแกว่งตัวกรอบแคบ (ไซต์เวย์) เพื่อรอติดตามประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่จะมีการเจรจาต่อในสัปดาห์นี้ที่กรุงวอชิงตัน โดยยังมีปัจจัยหนุนจากโอกาสที่ทรัมป์จะขยายเส้นตายขึ้นภาษีจากวันที่ 1 มี.ค. 2562 ออกไปหากใกล้บรรลุข้อตกลงระหว่างกันได้

ขณะที่สัปดาห์นี้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะทยอยประกาศออกมาหนาแน่นขึ้นและคาดเห็นแรงเก็งกำไรเข้ามาเป็นรายตัวที่คาดว่าจะมีกำไรแข็งแกร่ง ส่วนหุ้นในกลุ่ม Global Play เราคาดว่ายังมีโอกาส Outperform ต่อเนื่อง 

 

บล.กรุงศรี

คาดว่า SET Index แกว่งตัวในกรอบ 1,633 – 1,645 จุด แม้ว่าภาวะตลาดจะยังได้ปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่องหลังโอเปกลดกําลังการผลิตลง รวมถึงความคาดหวังการเจรจาการค้าระหว่างสัหรัฐ-จีนในสัปดาห์นี้จะมีความคืบหน้ามากขึ้นและสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ก่อน 1 มี.ค. 2562

อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนการเมืองภายในประเทศจากกรณีการยุบพรรคไทยรักษาชาติส่งผลให้เม็ดเงินจากต่างชาติไหลออกในช่วงนี้โดยเป็น Net Sell 7 วันต่อเนื่องราว 1 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ คาดว่านักลงทุนจะชะลอการซื้อขายเพื่อติดตามรายงานการประชุมเฟดในวันนี้เพื่อจับทิศทางอัตราดอกเบี้ยและการปรับลดขนาดงบดุลซึ่งจะส่งผลให้ดัชนีผันผวนต่อไป

 

บล.หยวนต้า

ประเมินทิศทาง SET INDEX วันนี้ แกว่งตัวกรอบแคบ (ไซต์เวย์) ออกข้าง บนกรอบ 1,630-1,645 จุด วอลุ่มการซื้อขายกระเตื้องขึ้นเป็น 4-5 หมื่นล้านบาทต่อวัน หลังผ่านช่วงคาบเกี่ยววันหยุด

ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศทรงตัว โดยเฉพาะสงครามการค้าที่สัปดาห์นี้ตัวแทนจากจีนเดินทางมาประชุมเจรจา ณ กรุงวอชิงตัน แต่ต้องติดตามดูว่า สหรัฐฯ จะเลื่อนบังคับใช้นโยบายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน จาก 10% เป็น 25% วงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามที่เคยส่งสัญญาณในช่วงก่อนหน้านี้หรือไม่