โบรกฯ ประเมินหุ้นแกว่งตัวแดนบวก หลังเจรจาการค้าสหรัฐ-จีนมีแนวโน้มสดใส

>>

นายวิน  อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ว่าตลาดมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวน แต่ตลาดเริ่มเห็นแรงซื้อกลับเข้ามาบ้าง โดยปัจจัยบวกสำคัญคือผลการเจรจาการค้าสหรัฐฯกับจีน ที่เตรียมทำข้อตกลงการค้าถือเป็นผลบวกที่ทำให้ตลาดคลายความกังวล แต่ปัจจัยในประเทศคือเรื่อง ทิศทางการเลือกตั้งค่อนข้างเป็นปัจจัยที่ตลาดกังวลในเรื่องผลการตัดสินของศาลฯในการยุบพรรคไทยรักษาชาติ ซึ่งมีแนวโน้มที่ถูกยุบพรรค ทำให้ทิศทางจากนี้นักลงทุนจะให้ความสนใจว่าใครจะชนะการเลือกตั้ง

และปัจจัยสุดท้ายคือการรายงานกำไรบริษัทจดทะเบียน (วันสุดท้าย 28 กุมภาพันธ์) โดยกำไรที่รวบรวมมาแล้ว 284 บริษัท พบว่ากำไรของ SET ลดลง 29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และลดลง 35% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว ต่ำกว่าที่ตลาดคาด ส่งผลให้ระดับอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (พี/อี) ตลาดขยับขึ้นไปอยู่ที่ 17 เท่าอีกครั้ง

 

บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน)

ประเมินดัชนีตลาดหุ้นจะแกว่งตัวในแดนบวก ขึ้นไปทดสอบระดับ 1,670 จุด จากบรรยากาศการลงทุนที่ค่อนข้างสดใส หลังมีรายงานว่าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนมีความคืบหน้าอย่างมาก รวมถึงทรัมป์ยังยืนยันว่าจะยืดเส้นตายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนออกไปจาก เดิมในวันที่ 1 มีนาคม 2562 ขณะที่การเมืองในประเทศสัปดาห์นี้ต้องติดตามศาล รัฐธรรมนูญกรณีกรณียุบพรรคไทยรักษาชาติ โดยนักวิเคราะห์มองว่าหุ้นในกลุ่ม Global Play ยังนำตลาดและเน้นเลือกหุ้นรายตัวที่คาดว่าจะมีแนวโน้มกำไรแข็งแกร่ง

 

บล.กรุงศรี จำกัด (มหาชน)

มองว่าดัชนีปรับตัวขึ้นทดสอบบริเวณ 1,667 – 1,670 จุด ตามประเด็นบวกที่ทรัมป์เลื่อนเดดไลน์การปรับเพิ่มอัตราภาษีนําเข้าสินค้าจากจีน จากวันที่ 1 มีนาคม ออกไปอีก 1 เดือนหรือมากกว่านั้น หลังจากการเจรจาการค้ามีความคืบหน้ามากขึ้นโดยมีรายงานว่าทั้ง 2 ประเทศเริ่มร่างเอ็มโอยูจํานวน 6 ฉบับ เพื่อคลี่คลายข้อพิพาทการค้าที่ยืดเยื้อมานาน ประกอบกับเฟดมีแนวโน้มจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นบวกต่อการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง

นอกจากนี้ราคาน้ํามันที่ทรงตัวระดับสูงจะเป็นแรงหนุนต่อกลุ่มพลังงานและภาวะการลงทุนอีกด้วย อย่างไรก็ตามควรระวังแรงขายทำกำไรหลังการประกาศงบและเงินปันผลของบริษัท ซึ่งอาจส่งผลให้ดัชนีสลับอ่อนตัวลงได้

 

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

ให้มุมมองว่าผลของสงครามการค้าเริ่มกระจายตัวเป็นวงกว้าง โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์รายงานตัวเลขส่งออกเดือนมกราคมติดลบสูงกว่า 5.6% ส่งผลให้ขาดดุลการค้า 4,032 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือเป็นการลดลง 3 เดือนติดต่อกัน โดยรถยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และยางพาราเป็นสินค้าหลักที่ติดลบ

และหากนับรายประเทศพบว่าส่งออกไปจีนติดลบมากถึง 16.7%  ยุโรปติดลบ 4.8% ขณะที่ส่งออกไปสหรัฐเพิ่มขึ้น 8% ภาพดังกล่าวสอดคล้องกับมุมมองที่คาดว่า ผลกระทบของสงครามการค้าจะกดดันการส่งออกไปในช่วงไตรมาสแรกของปี และหากทรัมป์เลื่อนเดดไลน์ออกไปอีก 90 วัน มีโอกาสที่จะกดดันภาคการส่งออกต่อในไตรมาส 2 ด้วย