“โอสถสภา” เป็นหนึ่งในธุรกิจสัญชาติไทยเพียงหยิบมือเดียวที่มีอายุเกินร้อยปี แถมถ้าไล่เรียงอายุกับองค์กรเกินร้อยด้วยกันอย่างไทยพาณิชย์และเอสซีจีแล้ว โอสถสภายังมีอายุมากกว่าสองเจ้านี้เกินรอบ
เก่าแก่ข้ามเวลามาได้ขนาดนี้ องค์กรนี้มีดีอะไรกันนะ?
โอสถสภาเป็นธุรกิจของตระกูล “โอสถานุเคราะห์” ที่เพียรส่งต่อภารกิจจากรุ่นสู่รุ่น จนเกิดการเปลี่ยนแปลงในรุ่นที่ 4 ที่ตัดสินใจปลดล็อกธุรกิจ จาก “ครอบครัว” มาสู่ “มหาชน” เพื่อเป้าหมายที่ไกลกว่า
“โอสถสภายั่งยืนมาได้ 128 ปี ครอบครัวอยากให้อยู่ต่อไปอีก 200 ปี เลยไม่อยากให้เป็นแค่ธุรกิจในครอบครัวอีกต่อไป เรามองเรื่องของความยั่งยืน มองการบริหารจัดการแบบมืออาชีพ และความเป็นบริษัทมหาชน” เพชร โอสถานุเคราะห์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) เล่า
จะว่าไปแล้วโอสถสภาก็เป็นกิจการ (ขวัญใจ) มหาชนอยู่แล้ว ตั้งแต่วันแรกที่ขึ้นป้าย “ร้านขายยาเต็กเฮงหยู” เพราะ “เต็กเฮงหยู” แปลว่าเจริญโดยการช่วยเหลือผู้อื่น
ยิ่งการปรุงสูตรยาจีนโบราณ “กฤษณากลั่นตรากิเลน” แก้ปวดท้อง ท้องร่วง ออกวางขาย พอใช้แล้วเห็นผลทันที ก็ยิ่งทำให้ยากฤษณากลั่นตรากิเลนกลายเป็นสินค้ามหาชนที่ดังเพียงข้ามคืน
แม้แต่ “โอสถานุเคราะห์” ซึ่งเป็นนามสกุลพระราชทานจากรัชกาลที่ 6 ก็เป็นผลพวงมาจากสรรพคุณของยากฤษณากลั่นตรากิเลนที่ใช้แล้วได้ผลจริง จนในหลวงท่านเขียนแนะนำยาตัวนี้สำหรับโรคท้องร่วง ในพระราชนิพนธ์ “กันป่วย”
สินค้าติดดาวอีกตัวหนึ่งที่ถือว่าเป็นตำนานของโอสถสภา นั่นก็คือยาแก้ปวด “ทันใจ” (ชื่อในยุคแรกๆ) เป็นยาครอบจักรวาลรักษาได้แทบทุกสิ่ง ทั้งปวดหัว ปวดฟัน เป็นไข้ ปวดกล้ามเนื้อ
แค่ถือซองยาทันใจก็อุ่นใจได้ว่าต้องหายแน่ๆ เพราะทันใจโฆษณาว่า “รับประทานยาทันใจ หายเร็ว” ผู้ป่วยก็รีบฉีกซองละลายน้ำเลยสิ จะรออะไร
ทันใจขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จนทำให้สองยี่ห้อของคู่แข่งมึน ทั้ง “ปวดหาย” ของบริษัท เยาวราช จำกัด และ "ประสระนอแรด" ของบริษัท เทวกรรมโอสถ จำกัด
ยุคนั้นประสระนอแรด พยายามดับเครื่องชนทันใจ โดยบอกว่า “ประสระนอแรดดีกว่า เพราะกินแล้ว ไม่ติดเหมือนยาอื่น”
แต่สุดท้ายทั้งทันใจ ปวดหาย และประสระนอแรด ก็ถูกกระทรวงสาธารณสุข “สกัดดาวรุ่ง” โทษฐานอวดอ้างเกินจริง
จากทันใจ ก็เลยแปลงร่างเป็น “ทัมใจ”
จากปวดหาย ก็เปลี่ยนใหม่เป็น “บวดหาย”
และจากประสระนอแรด ก็แปลงกายไปเป็น “ประสระบอแรด”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอุปทานหมู่หรืออย่างไร เพราะสมัยนั้นมีคนติดยาทัมใจจริงๆ กินแล้วหยุดไม่ได้ ทั้งที่มันก็เป็นแค่ยาแก้ปวดแอสไพรินธรรมดา แต่มีอิทธิพลอย่างมากกับคนในยุคหนึ่ง
แม้ทุกวันนี้ เราก็ยังได้รับรู้ถึงความเชื่ออย่างน่าอัศจรรย์ของทัมใจ เพราะยังมีคนตั้งกระทู้ในพันทิปว่า กินยาทัมใจแล้วจะช่วยยับยั้งการตั้งครรภ์ได้ไหม
หรือบางเพจก็แสดงอาการตกใจ เมื่อรู้ว่ามีพ่อค้าบางคนซื้อทัมใจไปแช่ปลาหมึกให้ดูเต่งตึง ขายได้ราคาดี (พ่อค้ารู้ได้ไงนะว่าปลาหมึกมันปวดหัว)
จากเรื่องโกลาหลของทัมใจ ก็มาถึงเรื่องหอมปากหอมคอของ “โบตัน” ใครที่เป็นคนรุ่นเจนเอ็กซ์ อายุ 30 ปีขึ้นไป น่าจะเคยผ่านประสบการณ์ดีๆ กับโบตันที่เป็นตลับโลหะเล็กๆ ที่ทุกวันนี้กลายเป็น rare item ไปแล้ว
และถ้าจำไม่ผิดโบตันเคยเป็นสินค้าสื่อรักของหนุ่มจีบสาวในสมัยหนึ่ง ที่ไม่รู้จะคุยอะไรก็ส่งโบตันให้กัน (ถ้าไม่ใช่ ขออภัยอย่างแรง)
โบตันเป็นตัวแทนของสินค้าที่บอกเล่าตัวตนของโอสถสภาได้อย่างชัดเจน จากพื้นที่เล็กๆ ในซองกระดาษ โบตันถูกห่อด้วยแผ่นอลูมิเนียม ต่อมาเปลี่ยนมาเป็นแบบตลับโลหะแล้วยกเลิกไป กลายมาเป็นตลับพลาสติกเพื่อลดต้นทุน
ส่วนเนื้อของโบตันก็ปรับปรุงจากแบบแผ่น มาเป็นแบบเกล็ด เพิ่มสูตรใหม่เป็นโบตันพลัส และวิวัฒนาการจนกลายมาเป็น “โบตัน มินท์ บอล” เม็ดอมรูปแบบใหม่ที่เคลือบด้วยความหอมเย็น 2 ชั้น ก่อนที่จะไปเจอโบตันรสดั้งเดิมข้างใน ซึ่งเปรียบเสมือนคุณค่าทางธุรกิจของโอสถสภาที่ฝังรากลึกมานาน
“ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ TCDC” วิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจว่า แบรนด์เก่าแก่อย่างโบตันถือว่ามีความสำคัญต่อโอสถสภา และอยู่เคียงข้างชีวิตคนไทยมาอย่างยาวนาน มันสามารถต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลงในตลาดบริโภคมาได้ตลอดทุกยุคทุกสมัย
สินค้าเรือธงที่สร้างความแข็งแกร่งให้โอสถสภามากที่สุด
สินค้าเรือธงที่สร้างความแข็งแกร่งให้โอสถสภามากที่สุด และทำรายได้สูงสุด 77% คือ ธุรกิจเครื่องดื่มที่ไม่ผสมแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ที่มี “เอ็ม-150” เป็นพี่ใหญ่ มีส่วนแบ่งตลาด 37.9%
และทั้งตลาดรวมเครื่องดื่มบำรุงกำลัง โอสถสภาถือครองส่วนแบ่งตลาดเกินครึ่งคือ 54% ภายใต้แบรนด์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเอ็ม-150, เอ็ม-สตอร์ม, ลิโพวิตัน-ดี, ลิโพ-พลัส, ฉลาม, โสมอิน-ซัม และ เอ็มเกลือแร่
โอสถสภายึดหลักกลยุทธ์เก็บไข่ไว้หลายๆ ตะกร้า ไม่พึ่งพิงธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งมากเกินไป การที่มีสินค้าหลากหลายกลุ่ม ทั้งเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ ของใช้ส่วนบุคคล ธุรกิจบริการ และธุรกิจอื่นๆ คือโครงข่ายใยแมงมุมที่จะนำพาธุรกิจให้แข็งแรงและเติบโตอย่างยั่งยืน
ปัจจุบันบริษัทส่งออกสินค้าไปทำตลาดใน 25 ประเทศทั่วโลก เป้าหมายสุดท้ายของธุรกิจคือ การสร้างชื่อเสียงในฐานะแบรนด์ไทยที่ติดปีกไปไกลทั่วโลก