เข้าสู่ช่วงสุดท้ายแล้วสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปที่จัดขึ้น 24 มีนาคมนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี ที่คนไทยทุกคนจะได้มีสิทธิเข้าคูหากาบัตรเลือกคนดีคนเก่งเข้ามาบริหารประเทศ ท่ามกลางการหาเสียงของพรรคการเมืองที่ประชันนโยบายกันอย่างมีสีสัน พรรคนั้นสัญญาจะทำนั้น พรรคโน้นจะทำนี่ เวลานี้มันช่างเป็นสวรรค์ของคนมีสิทธิเลือกตั้งชัดๆ ซึ่งท้ายที่สุดการลงคะแนนเลือกใครในวันที่ 24 นี้ก็แล้วแต่ความชื่นชอบของแต่ละคน
แต่ในมุมของตลาดทุน นักลงทุนก็ให้ความสนใจไม่แพ้กัน โดยเฉพาะตลาดหุ้นหลังการเลือกตั้งจะเป็นเช่นไร ดัชนีจะขึ้นจะลงแค่ไหน ก็ยากที่จะทำนายอนาคต แต่หากดูถึงสถิติหลังจากการเลือกตั้งก็พอจะบ่งบอกทิศทางตลาดหุ้นจะไปทางไหนได้บ้าง
Post-Election Rally เกิดขึ้นแน่
“ถ้าคุณเชื่อในสถิติ หุ้นไทยจะขึ้นหลังเลือกตั้ง” มุมมองความเห็นของ‘ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์’ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธาร คอร์ปอเรชั่น หนึ่งในกูรูรุ่นเก๋าของตลาดหุ้นที่มองว่า ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในช่วงเลือกตั้ง แบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ ระยะแรก ก่อนการเลือกตั้ง หรือจากวันที่ 1 มกราคม - 28 กุมภาพันธ์ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 100 จุด มาอยู่ที่ 1,675 จุด ส่วนระยะที่ 2 ตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงวันเลือกตั้ง การตอบสนองของตลาดหุ้นมักจะปรับฐาน มูลค่าการซื้อขายหดหายไปจนกว่าจะถึงวันเลือกตั้ง 24 มีนาคม ก่อนที่จะวิ่งขึ้นในช่วง Post election rally เหมือนที่ผ่านมาเคยเกิดขึ้น 3 ครั้ง
ทิศทางตลาดหลังการเลือกตั้งนั้น ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นในประเทศไทยเท่านั้น ซึ่งรูปแบบการลงทุนในลักษณะนี้ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศที่มีการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ที่หุ้นมักจะดีดตัวขึ้นแรงหลังจากการเลือกตั้ง
เช่นเดียวกับประเทศที่ถือเป็นต้นแบบประชาธิปไตยอย่างสหรัฐอเมริกา กับการเลือกตั้งประธานาธิบดี ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2559 ก่อนหน้าเลือกตั้ง 1-2 เดือน ตลาดหุ้นดาวน์โจนส์ไม่คักคัก กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีจะอยู่ที่ 17,000 จุด กรอบบน 18,000 จุด เพราะนักลงทุนต่างเฝ้ารอความชัดเจนผลการเลือกตั้ง และพอหลังจากเลือกตั้งชัดเจนว่า ‘โดนัล ทรัมป์’ ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นที่แน่นอน ตลาดหุ้นสหรัฐปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากระดับ 17,000 จุด วิ่งขึ้นไปเกือบ 30,000 จุด เลยทีเดียว
กลับมาที่ประเทศไทย ดัชนีหุ้นจะขึ้นได้ในเงื่อนไขการเลือกตั้งต้องราบลื่น และรัฐบาลใหม่เป็นที่ยอมรับนับถือของนานาชาติ และมีนโยบายเปิดกว้างต้อนรับการลงทุนจากต่างประเทศจะทำให้หุ้นวิ่งขึ้นมากกว่าปกติ
ภาวะการตลาดหุ้นไทยปัจจุบัน ก็มีโมเดลที่คล้ายคลึงกันมาก ทำให้เชื่อว่าหลังเลือกตั้งครั้งนี้ หากไม่มีความรุนแรงหรือเกิดเหตุการณ์ประท้วง เชื่อว่าหุ้นน่าจะขึ้นได้ ดังนั้นนักลงทุนต้องจับตาดู ส่วนนักลงทุนจะทำอย่างไรนั้น มองว่าก็ถือพอร์ตลงทุนต่อไปได้
เลือกตั้งชัดเจนช่วยดันดัชนี
บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS ระบุว่า ทิศทางตลาดไทยได้อานิสงส์จากมุมมองเชิงบวกของนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบัน เพราะเข้าใกล้ช่วงโค้งสุดท้ายของวันเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 โดยคาดว่าจะทำให้ลดความกังวล Political Risk พร้อมกลับมามีความเชื่อมั่นมากขึ้น หนุนให้ทั้งการลงทุนและการท่องเที่ยวดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้
กลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์หลังเลือกตั้ง เช่น กลุ่มค้าปลีก ซึ่งคาดว่าหลังเลือกตั้งภายใต้รัฐบาลใหม่จะเข้ามาแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนเป็นอันดับต้นๆ จึงเป็นปัจจัยช่วยหนุนกลุ่มค้าปลีกได้ประโยชน์จากกำลังซื้อที่มากขึ้น
โดยหุ้นที่จะได้ประโยชน์ ได้แก่ BJC, CPALL, หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว จากการคาดการณ์ว่าหลังจากประเทศไทยเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง ทำให้นักท่องเที่ยวบางกลุ่มมีมุมมองความเสี่ยงทางการเมืองของประเทศไทยที่ลดลง ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น โดยเลือกหุ้นที่คาดจะได้ประโยชน์ ได้แก่ AAV, AOT และกลุ่มสื่อ ซึ่งคาดว่าเอเจนซี่ที่ชะลอการใช้เม็ดเงินในช่วงก่อนหน้าจะกลับมาอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่อุตสาหกรรมอีกครั้ง หลังการเลือกตั้งมีความชัดเจนและการบริโภคในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้น
เงินนอกเตรียมไหลเข้า
อีกมุมหนึ่งเมื่อการเลือกตั้งชัดเจน คือเม็ดเงินต่างชาติจะเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น โดยบล.เอเซีย พลัส ได้ทำบทวิเคราะห์ โดยประเมินว่า จากสถิติตลาดหุ้นไทยช่วงก่อนที่มีการเลือกตั้งในปี 2544- 2554 พบว่า เงินทุนต่างชาติ จะชะลอๆ และไหลออกบ้างช่วงก่อนเลือกตั้ง ก่อนที่เงินทุนต่างชาติจะเริ่มไหลกลับมาช่วง 1-2 วันก่อนและหลังเลือกตั้ง กล่าวคือในช่วง 1-2 วันแรกหลังเลือกตั้ง เงินทุนต่างชาติมีโอกาสไหลเข้า 100% และ 5 วันหลังเลือกตั้ง เงินทุนต่างชาติไหลเข้าเฉลี่ยกว่า 8.1 พันล้านบาท ถือว่าสูงมาก
เนื่องจากมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยในอดีตปี 2544-2554 เพียง 0.6–2.83 หมื่นล้านบาทต่อวัน น้อยกว่าปี 2561 เฉลี่ย 5.6 หมื่นล้านบาทต่อวัน ดังนั้นแม้ก่อนการเลือกตั้งในรอบนี้ เงินทุนต่างชาติยังไม่ไหลเข้ามาถือเป็นเรื่องปกติ ตราบใดที่การเลือกตั้งผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ก็มีโอกาสที่เงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาดังสถิติในอดีต
ผลจากการวิเคราะห์เชิงปริมาณพบว่า ผลตอบแทนในอดีตช่วงก่อนและหลังเลือกตั้ง ปี 2544 -2554 ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับขึ้นเป็นบวกช่วง 2 วันก่อนเลือกตั้ง เฉลี่ย 0.9% และ 1.7% ช่วง 1 วันก่อนเลือกตั้ง และจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรงหลังวันเลือกตั้ง 1 วันเสมอ โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 3.1% และมีโอกาสให้ผลตอบแทนเป็นบวกถึง 100%
สรุปหากความตึงเครียดทางการเมืองผ่อนคลายลง พร้อมกับการเลือกตั้งผ่านพ้นไปด้วยดี มีโอกาสสูงที่ตลาดหุ้นไทยจะขยับปรับตัวเพิ่มขึ้นเหมือนสถิติในอดีตและตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค
ที่มา https://youtu.be/dKqm7HXFNUk, เอกสารเผยแพร่ บล.เออีซี