เปิดอาณาจักร "STEC" ของตัวเต็งนายกฯ คนใหม่ รับเหมายักษ์ใหญ่ Backlog ทะลุแสนล้าน

>>

ท่ามกลางการเลือกตั้งที่ร้อนแรงไม่แพ้อากาศในขณะนี้และรายงานผลการนับคะแนนที่พลิกความคาดหมาย เมื่อ 2 พรรคใหญ่ไม่ได้กุมชัยชนะที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำให้พรรคตัวแปรอันดับที่ 3-4 เริ่มมีความสำคัญและเนื้อหอมยิ่งขึ้น!!!

หนึ่งในพรรคที่ว่ากันว่าจะชี้ชะตาการเมืองไทยในนาทีนี้ หนีไม่พ้นภูมิใจไทย ที่เมื่อเลือกข้างไหนก็พร้อมจะเป็นรัฐบาลทันที ภายใต้การนำของหัวหน้าพรรค “เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย  ซึ่งในด้านหนึ่งที่เสี่ยหนูเป็นนักการเมืองชื่อดัง และถูกจับตามองมากที่สุดในวินาทีนี้แล้ว ยังเป็นนักธุรกิจใหญ่อีกด้วย

โดยบริษัทที่เสี่ยหนูถือหุ้นอยู่คือ บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างชื่อดังอย่าง STEC หรือ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ที่มักจะเข้าไปก่อสร้างงานสำคัญๆของประเทศ ทั้งโครงการรถไฟฟ้า รวมถึงการโครงการก่อสร้างรัฐสภาใหม่  “สัปปายะสภาสถาน” ย่านเกียกกาย มูลค่า  12,280 ล้านบาท อีกด้วย เพราะอย่างนี้นี่เอง ราคาหุ้น STEC จึงวิ่งใกล้จุดสูงสุดในรอบปีที่ 23.80 บาทต่อหุ้น

 

รู้จัก STEC

STEC เป็นผู้ประกอบธุรกิจก่อสร้างงานทุกประเภท ทั้งงานโยธาและงานเครื่องกล เช่น งานด้านระบบสาธารณูปโภค งานด้านอาคาร งานด้านพลังงาน งานด้านอุตสาหกรรม และงานด้านสิ่งแวดล้อม โดยมีผู้ถือหุ้น 10 อันดับแรก ดังนี้

โดยจากรายชื่อผู้ถือหุ้น มีแกนนำคนสำคัญของพรรคภูมิใจ อย่างเสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล ถือหุ้น 71.55 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 4.69% ของหุ้นทั้งหมด

(รูปประกอบจาก Facebook อนุทิน ชาญวีรกูล)

 

ธุรกิจของ STEC ประกอบด้วยงานก่อสร้าง 5 กลุ่มหลัก ได้แก่

  • งานก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค
  • งานก่อสร้างด้านอาคาร
  • งานก่อสร้างด้านพลังงาน
  • งานก่อสร้างด้านอุตสาหรกรรม
  • งานก่อสร้างด้านสิ่งแวดล้อม

 

งานที่โดดเด่นทั้งในอดีตและปัจจุบัน มีทั้งการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่  อุโมงค์ระบายน้ำบึงหนองบอน รถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางใหญ่ – บางซื่อ) ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 ดินแดง อาคารสนามบินนานาชาติ เชียงใหม่ หรือโรงไฟฟ้า RIL Cogeneration Power Plant 120 MW

 

รายได้หลักจากงานภาครัฐ !! 

บริษัทมีสัดส่วนรายได้ 62% จากงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ถนน สะพาน 
18% มาจากธุรกิจการก่อสร้างด้านพลังงาน 16% มาจากการก่อสร้างอาคาร โดยมีสัดส่วนรายได้จาก Public Sector  78% และ Private Sector 21.5% ดังนี้

กำไรสูงสุดในรอบ 3 ปี  พร้อม backlog ทะลุแสนล้าน

ในด้านผลการดำเนินงานพบว่า บริษัทมีกำไรที่เติบโตต่อเนื่อง มีเพียงปี 2561 ที่สะดุดและมีผลการดำเนินงานที่ขาดทุน แต่ในปี 2561 บริษัทฯ กลับมาพลิกมีกำไรสุทธิ 1,616.86 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 3 ปี

ผลงานดำเนินงานในปี 2561 ยังคงมีโครงการก่อสร้างใหม่ๆ ออกมาเปิดประมูล โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของภาครัฐ บริษัทฯ ยังคงเข้าร่วมประมูลงานก่อสร้าง เพื่อสะสมปริมาณงานในมือ (Backlog Order) มากขึ้น โดย ณ สิ้นปี 2561 บริษัทฯ มีงานก่อสร้างรอส่งมอบในมือรวม 105,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่มีปริมาณงานในมือ 103,985 ล้านบาท

เนื่องจากลงนามในสัญญาก่อสร้างขนาดใหญ่ หลายโครงการ เช่น โครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ศรีราชา มูลค่างานตามสัญญาประมาณ 9,389 ล้านบาท โครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ปลวกแดง มูลค่างานตามสัญญาประมาณ 9,223 ล้านบาท โครงการโรงไฟฟ้าจะนะกรีน มูลค่างานตามสัญญาประมาณ 1,500 ล้านบาท  โครงสร้างทางวิ่งเดี่ยวสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี มูลค่างานตามสัญญาประมาณ 3,935 ล้านบาท โครงสร้างทางวิ่งเดี่ยวสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง มูลค่างานตามสัญญาประมาณ 3,382 ล้านบาท

 

ราคาเหมาะสม 31 บาท

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้ราคาที่เหมาะสมหุ้น STEC ที่ 31 บาท โดยมี 3 เหตุผลคือ

  1. งานภาครัฐยังเป็นความหวังและโอกาสที่ดีต่อการรับงานใหม่เพิ่ม คาดในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้าการประมูลงานเริ่มเป็นรูปธรรม
  2. ผลประกอบการได้แรงหนุนจากงานในมือกว่า 1.05 แสนล้านบาท คาดเห็นอัตราการเติบโต(CAGR) ในช่วง 3 ปี (ปี 2561-2563) ราว 12% 
  3. เบื้องต้นคาดผลประกอบการไตรมาส 1 ของปีนี้ จะทำได้ดีเมื่อเทียบกับปีก่อน จากความต่อเนื่องของงาน แต่อาจปรับลดเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปีก่อน เนื่องจากมีการเร่งปิดโครงการเก่าและรับรู้รายได้จากงานใหม่ที่เร่งตัวในช่วงต้น  

แม้ว่าระยะสั้นในช่วงครึ่งปีแรก อาจยังไม่เห็นการเติมงานในมือด้วยงานมูลค่าสูงจากภาครัฐ อย่างไรก็ดียังมีงานเอกชนที่ STEC ยังมีโอกาสรับงานได้ต่อเนื่อง โดยเริ่มต้นของปี เริ่มรับงานอาคารมูลค่า 1.4 พันล้านบาท และมีจุดเด่นมากกว่ากลุ่มรับเหมา จากมูลค่างานในมือสูงระดับ 1.05 แสนล้านบาท เพิ่มความมั่นคงให้แก่รายได้ช่วง 2-3 ปีข้างหน้าได้  ขณะเดียวกันในระหว่างปี ยังมีงานทั้งจากภาครัฐและเอกชนที่เตรียมการประมูล คาดเห็นความชัดเจนในช่วง 2H62  โดยบริษัทมีพันธมิตรคือ กลุ่มบีทีเอส พร้อมการรับงานแบบ PPP ช่วยเสริมศักยภาพในการรับงาน และคงสถานะการเงินแข็งแรงเป็นบริษัทที่ไม่มีหนี้

 

ที่มา

บทวิเคราะห์  บล.หยวนต้า (ประเทศไทย)

http://www.stecon.co.th/images/webpage/190322102540_SinoAnnual2018t.pdf

https://www.set.or.th/set/factsheet.do?symbol=STEC&ssoPageId=3&language=th&country=TH