Hightlight
-
ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/62 มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ 1,210.72 ล้านบาท ลดลง 37.81% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
-
หากพิจารณาเฉพาะกำไรสุทธิจากการดำเนินธุรกิจปกติไม่รวมกำไรทางบัญชีจากการรวม Amita บริษัทฯ จะมีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่เพิ่มขึ้น 15.07% และรายได้รวมจากการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้นแตะ 3,086.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.36%
-
จากการรับรู้รายได้กำลังการผลิตไฟฟ้ามากขึ้น ทำให้กระแสเงินสดเพิ่มขึ้น ช่วยสนับสนุนโอกาสขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
-
หลังโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมหนุมาน จ่ายไฟฟ้าครบ 260 เมกะวัตต์ ทำให้กำลังผลิตไฟฟ้ารวมเป็น 664 เมกะวัตต์
-
ทริส ยกระดับเครดิตขึ้นเป็น A จากเดิมที่เป็นระดับ A- หนุนต้นทุนทางการเงินลด
นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 1/62 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจากการดำเนินธุรกิจ 1,210.72 ล้านบาท แม้จะลดลงร้อยละ 37.81 จากงวดเดียวกันของปีก่อน แต่หากไม่รวมกำไรทางบัญชีและผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นๆ แล้ว จะทำให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,145.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.71 จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 3,086.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.36 จากงวดเดียวกันของปีก่อน (ไม่นับรายได้และกำไรทางบัญชีจากการรวมกิจการ Amita ในปี 2561 จำนวน 894.58 ล้านบาท)
โดยมีปัจจัยที่สำคัญมาจากการเริ่มผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าพลังงานลม โครงการหนุมาน 1, 5, 8 และ 9 ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมกัน 180 เมกะวัตต์ ประกอบกับการมีพายุกระแสลมแรงในช่วงเดือนมกราคมปีนี้ ส่งผลให้จำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานลมเพิ่มขึ้นร้อยละ 45.37 ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 1/62 บริษัทฯมีกำลังผลิตไฟฟ้าที่มาจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และลมรวมกันเท่ากับ 584 เมกะวัตต์ ส่วนโครงการหนุมาน 10 ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานลมสุดท้าย ขนาดกำลังผลิต 80 เมกะวัตต์ ได้เริ่มมีรายได้เมื่อวันที่ 13 เมษายน เป็นต้นมา โดยภาพรวมของผลประกอบการในปีนี้ จึงมีการเติบโตอย่างโดดเด่นจากผลสำเร็จของโครงการหนุมาน จังหวัดชัยภูมิ เป็นสำคัญ ส่งผลให้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเข้ามาไม่ต่ำกว่า 8 พันล้านบาท ซึ่งจะนำไปใช้จ่ายและลงทุนในโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
“การที่ธุรกิจไฟฟ้าของบริษัทสามารถสร้างรายได้ได้อย่างมั่นคงจากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับกฟผ.-กฟภ. ตลอดจนการดำเนินโครงการได้ตามเป้าหมาย จนฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้ทริสได้เพิ่มอันดับเครดิตองค์กรเป็นระดับ "A" แนวโน้ม "Stable" จากเดิมที่เป็นระดับ "A-" ถือเป็นการตอกย้ำถึงปัจจัยพื้นฐานธุรกิจที่มีความแข็งแกร่ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในลดต้นทุนทางการเงินที่จะใช้สำหรับลงทุนในโครงการต่างๆ ต่อไปอย่างเป็นสาระสำคัญ” นายอมรกล่าว
สำหรับแผนการลงทุนในปี 2562 ถึง 2563 นั้น บริษัทยังคงมุ่งเน้นไปที่โครงการผลิตแบตเตอรี่ลิเที่ยมไอออน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนทั้งอุตสาหกรรมไฟฟ้าพ่วงแบตเตอรี่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ และอื่นๆ โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 9,200 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากทั้งกระแสเงินสดจากการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน และเงินกู้ยืมระยะยาวหรือการออกหุ้นกู้ตามที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติไว้ด้วยวงเงินไม่เกิน 15,000 ล้านบาท เพื่อเป็นทางเลือกในการใช้บริหารต้นทุนทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ