“บลจ.ไทยพาณิชย์”...เตรียมปันผล 2 กองหุ้นไทย ‘SCBDV-SCBSE’ กว่า 130 ล้านบาท วันที่ 21 พ.ค. นี้ พร้อมแนะจัดพอร์ตกระจายความเสี่ยงรับมือเศรษฐกิจโลกผันผวน โฟกัสหุ้นที่มีคุณภาพสูง
นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมจ่ายปันผลกองทุนหุ้นไทยพร้อมกันจำนวน 2 กองทุนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 21 พ.ค. นี้ ประกอบด้วย
- ‘กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ซีเล็คท์ อิควิตี้ ฟันด์ (SCBSE)’ สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 ส.ค.18 - 30 เม.ย. 19 ในอัตรา 0.2000 บาทต่อหน่วย
- ‘กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นทุนปันผล (SCBDV)’ สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 พ.ค. 18 - 30 เม.ย. 19 ในอัตรา 0.2000 บาทต่อหน่วย
“โดยมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลเมื่อวันที่ 21 พ.ย. 18 ไปแล้วจำนวน 0.1000 บาทต่อหน่วย คงเหลือจ่ายปันผลงวดนี้ 0.1000 บาทต่อหน่วย รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสองกองทุนกว่า 130 ล้านบาท”
ทั้งนี้ ‘กอง SCBSE’ และ ‘กอง SCBDV’ ถือเป็นกองทุนที่โดดเด่นของบริษัทโดย ‘กอง SCBSE’ จัดเป็นกองทุน 5 ดาว ประเภท Thailand Fund Equity Large-Cap ของมอร์นิ่งสตาร์ และมีผลดำเนินงานที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 11 มีการจ่ายปันผลแล้ว 16 ครั้ง รวม 7.1600 บาทต่อหน่วย ทั้งนี้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน มีผลการดำเนินงานอยู่ที่ 5.75% (ณ 15 พ.ค. 19)
ส่วน ‘กอง SCBDV’ นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 16 ก.ย. 03 มีการจ่ายเงินปันผลแล้ว 25 ครั้ง รวม 17.9700 บาทต่อหน่วย และมีผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 7.78% (ณ 15 พ.ค.19) สำหรับกองทุนนี้มีนโยบายเน้นการลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีนโยบายหรือมีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ
“ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มผันผวนเพิ่มมากขึ้นจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน โดยเมื่อวันที่ 10 พ.ค19 สหรัฐได้ประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 10% เป็น 25% ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ในช่วงเจรจาต่อรอง ส่วนปัจจัยภายในประเทศยังคงต้องติดตามความชัดเจนทางการเมืองภายหลังการเลือกตั้ง โดยคาดว่าจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างช้าสุดไม่เกินต้นเดือนมิ.ย. นี้ อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยยังได้รับแรงหนุนจากการประกาศปรับการคำนวณของ MSCI Rebalance ส่งผลให้หุ้นไทยได้ปรับน้ำหนักเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้าประมาณ 100,000 ล้านบาท”
นายณรงค์ศักดิ์ ยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยซื้อขายที่ระดับ P/E 15.3 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่ 15.5 เท่า ดังนั้นแนวทางการจัดพอร์ตจึงควรเน้น ‘กระจายความเสี่ยง’ โดยลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพสูง ทนทานต่อความผันผวนจากเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอน ซึ่งสามารถแบ่งเป็น
- ‘หุ้น Quality Stock’ ที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 - 3 ปีข้างหน้า ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ ทั้งหุ้นที่ได้รับประโยชน์จาก EEC การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐ หรือหุ้นที่ได้ประโยชน์จากแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) เช่น กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มพาณิชย์ และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
- ‘หุ้น Growth Stock’ ที่มีแนวโน้มเติบโตในช่วง 3 - 6 เดือนข้างหน้า และมูลค่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม เช่น กลุ่มน้ำมัน กลุ่มการเงิน
- ‘หุ้น High Dividend Yield’ เป็นหุ้นที่มีแนวโน้มปันผลสูง ซึ่งกลุ่มดังกล่าวจะมีความผันผวนต่ำ ในสภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวนสูง
- ‘หุ้นที่มีความยั่งยืน’ หรือหุ้นที่อยู่ในดัชนี THSI (Thailand Sustainability Investment)