“บลจ.บัวหลวง”...มั่นใจ ‘BCARE’ โชว์ผลงาน 10 ปี โตเฉลี่ย 14% ต่อปี

>>

“บลจ.บัวหลวง” มั่นใจ ‘BCARE’ พร้อมเติบโตต่อเนื่อง จากธุรกิจสุขภาพที่ยังคงมาแรง เหตุแนวโน้มคนใส่ใจดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น เผยผลดำเนินงาน 10 ปี เติบโตเฉลี่ย 14.01% ต่อปี


นายวศิน วัฒนวรกิจกุล กรรมการผู้จัดการ
Head of Business Distribution บลจ.บัวหลวง จำกัด (กองทุนบัวหลวง) เปิดเผยว่า นับตั้งแต่จัดตั้ง กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลเฮลธ์แคร์ (BCARE)’ กองทุนรวมที่เน้นลงทุนอุตสาหกรรมสุขภาพกองทุนแรกในไทย เมื่อ 12 ปีก่อน จนถึงล่าสุด ณ วันที่ 30 เม.ย. 19 ‘กอง BCARE’ มีผลการดำเนินงานเฉลี่ย 10 ปี ย้อนหลัง ถึง 14.01% ต่อปี สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานดัชนี MSCI World Health Care Index Net ที่ใช้วัดผลการดําเนินงานกองทุนหลัก ที่ 12.53% ต่อปี จากกระแสความต้องการชีวิตความเป็นอยู่ด้านสุขภาพที่ดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งในอนาคต ดังนั้น ‘กอง BCARE’ ยังคงน่าสนใจสำหรับผู้ลงทุนในระยะยาว


“อุตสาหกรรมสุขภาพ เหมาะกับผู้ลงทุนที่มองหากองทุนรวมเพื่อลงทุนในระยะยาว เพราะการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ไม่ใช่แนวโน้มที่เกิดขึ้นในระยะสั้น แต่ว่ามีโอกาสขยายตัวได้อีกไกล จากการที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย ไม่ว่าจะเป็น

  • ยุโรปตะวันตก
  • ญี่ปุ่น
  • สิงคโปร์
  • หรือไทย เป็นต้น


ขณะที่เทคโนโลยีการแพทย์ใหม่ๆ ช่วยให้คนมีอายุยืนยาวขึ้น ขณะเดียวกัน คนทั่วโลกก็มีความตื่นตัวและพร้อมใช้จ่ายในเรื่องการดูแลสุขภาพมากขึ้น บริษัทเล็งเห็นแนวโน้มนี้มาเป็นระยะเวลานานพอสมควร ทั้งยังคงเชื่อมั่นไปกับแนวโน้มนี้ต่อไปในอนาคตข้างหน้า”

 
( นายวศิน วัฒนวรกิจกุล )


นายวศิน ยังกล่าวอีกว่า ‘กอง BCARE’ และ ‘กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลเฮลธ์แคร์ เพื่อการเลี้ยงชีพ (BCARERMF)’ มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของ ‘Wellington Global Health Care Equity Fund’ (กองทุนหลัก) เพียงกองทุนเดียว เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) มีนโยบายลงทุนตราสารทุนของบริษัทในอุตสาหกรรมสุขภาพทั่วโลก


“ข้อมูลขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ประกอบด้วยประเทศสมาชิก รวม 36 ประเทศ พบว่า สัดส่วนการใช้จ่ายด้านสุขภาพต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ระหว่างปี 2000- 2017 เพิ่มขึ้น 25% อีกทั้งแนวโน้มการใช้จ่ายนี้น่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้การเติบโตของอุตสาหกรรมสุขภาพเป็นเมกะเทรนด์ของโลก”


นายวศิน กล่าวเสริมว่า ในช่วงเดือน เม.ย.19 ที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่ม ‘โกลบอลเฮลธ์แคร์’ เผชิญแรงกดดันจากข้อเสนอ Medicare-for-all ของพรรคเดโมแครต แต่เชื่อว่า โอกาสที่ Medicare-for-all จะผ่านนั้นมีความเป็นไปได้น้อย จากปัจจัยด้านต้นทุน เงื่อนไข และแรงต่อต้านของชาวอเมริกัน ราคาหุ้นกลุ่มนี้จะทวีความผันผวนสูงขึ้นในระยะเวลา 12-24 เดือนข้างหน้า จนถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีหน้า


“นักลงทุนที่เล็งเห็นโอกาส หรือชื่นชอบหุ้นในกลุ่มเมกะเทรนด์นีควรใช้ห้วงเวลานี้ในการลงทุนแบบถัวเฉลี่ย (Dollar Cost Averaging) เพราะเชื่อว่า แนวโน้มในระยะยาว กลุ่มเฮลธ์แคร์ยังไปต่อได้อีก จากนวัตกรรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ประชากรสูงวัยสหรัฐ อุปสงค์ของตลาดโลกต่อตัวยาและการรักษาตามแนวทางของชาติตะวันตก นอกจากนี้ บริษัทที่กองทุนหลักเข้าไปลงทุน ให้น้ำหนักกับบริษัทชีวเภสัชกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์มากเป็นพิเศษ"


เนื่องจากบริษัทในกลุ่มนี้ถือครองสิทธิบัตรงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้ในการบำบัดโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง อัลไซเมอร์ เบาหวาน และเอดส์ เป็นต้น รวมถึงถือครองเทคโนโลยีการถอดรหัสพันธุกรรมยีนมนุษย์ เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์การแพทย์นำมาวิเคราะห์แนวทางด้านการรักษาโรค


สำหรับธุรกิจสุขภาพจัดเป็นธุรกิจเพื่ออนาคตและกระจายการดำเนินธุรกิจไปทั่วโลก ถือเป็นการกระจายความเสี่ยงอีกรูปแบบหนึ่ง โดยกองทุนหลักที่ ‘BCARE’ ไปลงทุน สามารถกระจายความเสี่ยงได้ดี เพราะลงทุนในหุ้น มากกว่า 100 บริษัท แม้จะมีประเด็นด้านความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนที่ต้องคำนึงถึง แต่หากนักลงทุนเข้าใจก็จะจัดสรรเงินเข้าไปลงทุนได้ ส่วนผู้ที่ลงทุนอยู่แล้ว อีกทั้งเชื่อว่า แนวโน้มธุรกิจดูแลสุขภาพยังเติบโตได้ดีต่อเนื่องในระยะยาว แม้ระหว่างทางเผชิญความผันผวนบ้าง ก็สามารถลงทุนตลอดทุกช่วงวัฎจักรเศรษฐกิจ (STAYING INVESTED THROUGH ALL MARKET CYCLES) ไปกับ ‘กอง BCARE’ ได้เช่นกัน