ACG เคาะราคาไอพีโอหุ้นละ 1.44 บ. เข้าเทรดตลาด mai มิ.ย.นี้

>>

Hightlight

  • ACG ดีลเลอร์รายใหญ่ของฮอนด้า เคาะราคาขายไอพีโอหุ้นละ 1.44 บาท เปิดให้จองซื้อระหว่าง 19-21 มิ.ย. 62 คาดเข้าเทรดตลาดหลักทรัพย์ mai ปลาย มิ.ย. นี้
  • บริษัทฯได้แต่งตั้งบล. ฟิลลิป เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย โดยมีผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย 5 แห่ง คือ บล. โกลเบล็ก, บล. เคจีไอ, บล. เคทีบี, บล. ยูโอบี เคย์เฮียน และ บล. ไอร่า
  • เงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปใช้ขยายสาขาให้ครบทุกภูมิภาคของไทยภายในปี 2565 ซึ่งจะทำให้มีสาขาและศูนย์บริการรวมกันทั้งสิ้น 15 สาขาทั่วประเทศ

 

 

 

นายวิชา โตมานะ  กรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด  (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย หุ้นสามัญเพิ่มทุน บริษัท ออโตคอร์ป โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (ACG) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 156 ล้านหุ้น หุ้นละ 1.44 บาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยจะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 19-21 มิถุนายน 2562  คาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ปลายมิถุนายนนี้ ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม (หมวดยานยนต์) โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า ACG


สำหรับการเสนอขายหุ้นไอพีโอครั้งนี้ บริษัทฯได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด  (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย โดยมีผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย 5 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน)


การกำหนดราคาขายหุ้นไอพีโอของ ACG ที่ 1.44 บาท/หุ้น ถือว่าเป็นระดับราคาที่มีความเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เนื่องจากสะท้อนปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ประกอบกับการกำหนดหุ้นนั้น คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earning Ratio : P/E) เท่ากับ 18.70 โดยคำนวณกำไรสุทธิของบริษัทในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2561 ถึงไตรมาส 1 ปี 2562 (4 ไตรมาสย้อนหลัง) ซึ่งมีกำไรสุทธิเท่ากับ 46.37 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัท ซึ่งเท่ากับ 600 ล้านหุ้น (Fully Diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.077 บาท


โดยเป็นการคำนวณจากผลประกอบการในอดีต ซึ่งยังไม่ได้พิจารณาถึงผลการดำเนินงานในอนาคต  ทั้งนี้ P/E Ratio ไม่มีบริษัทจดทะเบียนที่ประกอบธุรกิจที่มีผลิตภัณฑ์เหมือนหรือใกล้เคียงกับธุรกิจของบริษัทฯ และเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการประเมินราคาหุ้นที่เสนอขาย และเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน จึงแสดงอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้นของตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ซึ่งเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่บริษัทฯ จะเข้าไปจดทะเบียน เฉลี่ยในช่วงระยะเวลา 3 เดือนย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2562 ถึง 12 มิถุนายน 2562 ซึ่งมีค่าเท่ากับ 48.26 เท่า


อนึ่ง สำหรับผลประกอบการในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมาปี 2559 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 8.62 ล้านบาท ปี 2560 มีกำไรสุทธิอยู่ที่  21.33 ล้านบาท และปี 2561 มีกำไรสุทธิอยู่ที่  27.41 ล้านบาท อย่างไรก็ตามผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/62 มีความโดดเด่นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยปรากฏว่ามีกำไรสุทธิ 15.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.63 ล้านบาท หรือ 682% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน


นายภานุมาศ รังคกูลนุวัฒน์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออโตคอร์ป โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (ACG) กล่าวว่าเตรียมนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ ไปใช้ในการลงทุนตามแผนการขยายสาขาให้ครบทุกภูมิภาคของไทยภายในปี 2565 ซึ่งจะทำให้มีสาขาและศูนย์บริการรวมกันทั้งสิ้น 15 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้ยอดขาย กำไร และส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น


“การขยายสาขาไปยังภูมิภาคต่างๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายฐานลูกค้ามากขึ้น สร้างโอกาสในการเติบโตให้กับกลุ่ม ACG ในฐานะดีลเลอร์รถยนต์รายใหญ่ของฮอนด้า ทำให้ฐานที่มาของรายได้และกำไรมากขึ้นตามปริมาณการขายรถยนต์ที่จะเพิ่มขึ้น ทั้งจากรายได้จากการขาย งานบริการซ่อมบำรุงและจำหน่ายอะไหล่ รวมไปถึงรายได้ค่านายหน้าจากการเสนอบริการสินเชื่อเช่าซื้อและประกันภัยรถยนต์ นอกเหนือจากรายได้จากการจำหน่ายรถยนต์และอุปกรณ์ตกแต่ง ซึ่งเป็นรายได้หลัก”


นายภานุมาศ กล่าวต่อในช่วงท้ายว่าในฐานะที่เป็นทั้งผู้ถือหุ้นรายใหญ่และผู้บริหารของ ACG มีความตั้งใจอย่างสูงที่จะผลักดันให้บริษัทฯ เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และยั่งยืนต่อไปในอนาคตให้ได้  ควบคู่กับความสามารถที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นทุกคนด้วย ซึ่งการก้าวเข้ามาเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้ถือเป็นจุดสำคัญในการก้าวไปข้างหน้าให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งใจเอาไว้