เมื่อ “วีไอไทย” เจอตลาดหุ้นปราบเซียน

>>

ตลาดหุ้นไหนรึที่ปราบเซียนวีไอไทย ลุงสายลับทีแรกฟังแล้วค่อนข้างแปลกใจตอนไปฟังสัมมนา Money Talk ที่ตลาดหลักทรัพย์เมื่อหลายเดือนก่อนเมื่อเซียนวีไอตัวพ่อออกมาพูดบนเวทีเลยในทํานองว่า "อยากเอาเงินกลับเมืองไทย" 


ก็เป็นเหมือนการปรารภกันระหว่าง ดร. นิเวศน์ กับ ดร. ไพบูลย์ ในระหว่างการสัมมนาถึงการที่ ดร. นิเวศน์ได้นําเงินลงทุนไปลงที่เวียดนามช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมาแล้วประมาณว่าผลมันไม่ได้ออกมาดีอย่างที่คาด


พูดภาษาชาวบ้านคือมันคงขาดทุนนั่นแหละ แต่ ดร. แกก็บอกในที่สัมมนานะว่าที่แกลงทุนมาตลอดชีวิตแกไม่เคยขาดทุน ก็อาจใช่นะถ้ายังไม่ได้ขาย


เรื่องลงทุนในตลาดเวียดนามนี่แกปรารภในที่สัมมนารายเดือนทํานองนี้ ลุงได้ยินมาสองรอบแล้วนะ จะว่าเป็นทํานองกระเซ้าเย้าแหย่กันระหว่างแกกับดร. ไพบูลย์ก็อาจจะใช่แต่ลุงก็เชื่อว่าจากการพูดของแกว่าที่ไปลงทุนในเวียดนามนี่มันค่อนข้างยากมีข้อจํากัดเยอะในฐานะ "นักลงทุนต่างชาติ" เรื่องที่ว่าผลการไปลงทุนมันจะออกมาไม่ดีถึง ณ เพลานี้ก็คงมีส่วนจริง


แล้วทําไมแกจึงลดการลงทุนในเมืองไทยที่แกบอกแกไม่ค่อยได้ซื้อขายมาเป็นปีๆ ก็ถ้าหากติดตามความเห็นของแกก็จะรับรู้ได้ว่าโอกาสที่นักลงทุนวีไอจะทํากําไรในตลาดบ้านเราเป็นกอบเป็นกําแบบเมื่อสิบกว่าปีก่อนมันไม่มีอีกแล้ว


เพราะแกว่าเศรษฐกิจเมืองไทยมันหมดยุคการเจริญเติบโตสูงๆไปแล้ว ความสามารถในการแข่งขันกับเพื่อนบ้านโดยเฉพาะเวียดนามก็ลดลงแถมยังจะเข้าสู่ยุคสังคมผู้สูงอายุอีกต่างหาก แล้วแกก็มองไปยังเวียดนามไปลงทุนที่เวียดนามที่ตอนนี้เศรษฐกิจเป็นเหมือนเมืองไทยเมื่อสิบกว่าปีก่อนจึงมีโอกาสที่จะได้กําไรแบบที่เคยได้ในเมืองไทยอีกครั้ง (ดูคลิบที่ ดร.แกพูดถึงเรื่องนี้ไว้ช่วงตุลาคม 2018ได้ที่นี่ครับ) https://bit.ly/2N93MJm


ประเด็นคือแกมีผู้ติดตามเยอะ แล้วก็มีสาวกตามแกไปลงทุนในเวียดนามกันพอสมควรถึงกับมีการรวมกลุ่มกันพากันทัวร์ไปสํารวจการลงทุนในเวียดนามกันเป็นรอบๆ มีการให้ข้อมูลอับเดทกันตลอดเวลา


แต่ก็ต้องยอมรับว่าจังหวะเวลาของการลงทุนเป็นเรื่องสําคัญ อย่างที่เวียดนามนี่ตลาดมันค่อนข้างผันผวน คนที่ตามไปลงทุนที่นั่นปีสองปีที่ผ่านมา น่าจะขาดทุนกันเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนที่ไปลงตั้งแต่ช่วงต้นปี 2018 ที่ดัชนีโฮจิมินอยู่แถวประมาณ 1,000 ก่อนจะไปดอยที่ ประมาณ 1,200 ตอนเดือนเมษา ตอนนี้มันก็ลงมาอยู่แถวๆ 900 นิดๆ


อีกอย่างที่นักลงทุนไทยมักทํากันคือ วีไอมักจะติดอยู่กับการไปเลือกหุ้นเล็กที่มองว่ายังไม่แพงมีอนาคต แล้วก็อย่างที่รู้ๆกันว่าหุ้นเล็กความเสี่ยงมันสูงกว่าโดยเฉพาะมันยากที่เราคนต่างชาติจะรู้ตื้นลึกหนาบางว่าเจ้าของใครเป็นใคร ขนาดหุ้นเล็กบ้านเรายังทําเอาเม่าหรือแม้แต่วีไอเจ๊งกันเป็นแถบในระยะหลังมานี่


หากจะดูในแง่หุ้นเล็ก 26 ตัวของเวียดนามที่มีมาตรฐานหน่อยที่คัดมาโดยดัชนี MSCI ผลตอบแทนก็ติดลบในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่ต้องพูดถึงพวกหุ้นยิบย่อยอื่นๆนะ


นั่นก็ทําให้เห็นว่าการเลือกหุ้นเล็กนี่ก็ถือว่าพลาดได้นะ แต่ๆ ที่วีไอเราต้องเลือกหุ้นเล็กในเวียดนามเพราะหุ้นใหญ่ๆหุ้นดีๆอย่างหุ้นรัฐวิสาหกิจของเขาส่วนใหญ่คนไทยเราซื้อไม่ได้ครับเพราะติด foreign limit คือเราเป็นต่างชาติ หุ้นใหญ่ดีๆ กองทุนฝรั่งมันกวาดไปหมดนานแล้ว


พลาดอันดับต่อมาก็คือว่าไอ้คําที่ว่า "ผมอยากกลับบ้าน" คือขายหุ้นที่เวียดนามทิ้งนั่นก็ทํายากครับขอบอก เพราะหุ้นเล็กที่นั่นสภาพคล่องมันน้อยคุณถือไว้เยอะก็ออกยาก


อย่างที่รู้ๆกันอยู่ว่าที่ผ่านมาเราฟังกันมาเยอะว่าตลาดหุ้นเวียดนามนี่มันวิเศษยังไงดีกว่าตลาดบ้านเรายังไง แต่ด้านมืดไม่ค่อยมีคนบอก ลุงว่าก่อนจะไปควรคิดให้รอบคอบก่อนก็ดีนะ


ลุงไม่ได้ว่าใครผิดใครถูกนะ แล้วในอนาคตอันยาวไกลห้าปีสิบปีคนไปลงเวียดนามอาจจะรวยโคตรก็ได้หรือไม่รวยก็ได้ หากคุณรอได้ ระหว่างรอกินได้นอนหลับก็โอเค แล้วถ้าใครจะลงทุนเวียดนามการซื้อผ่านกองทุนอาจจะดีกว่าเพราะมันมีหุ้นใหญ่ดีๆในพอร์ต เวลาเราอยากกลับบ้านก็ง่ายกว่า หากตลาดที่นั่นมีปัญหา


เพราะที่ว่าเศรษกิจเวียดนามจะโตดีมากต่อเนื่องนี่เราควรศึกษาให้ดี บ้านเขาก็มีจุดอ่อนนะลุงจะบอกให้ แล้วที่ว่าไทยเราจะไม่มีอนาคตนี่ก็ไม่น่านะ เพราะเราเริ่มมี อนาคตใหม่ แล้ว?!? ส่วนที่ว่าเราน่าจะดีหรือไม่ในห้าปีสิบปีไว้ค่อยเล่าให้ฟังละกัน


เอาเป็นว่าตอนนี้ที่เวียดนามถ้าพูดถึงหนี้สาธารณะ บ้านเราดีกว่าแน่ธนาคารโลกบอกว่าหนี้สาธารณะของเวียดนามสูงถึง 61% ของ GDP และเวียดนามยังขาดดุลการคลังอยู่ที่ 4.7% ของ GDP อีกด้วย ในขณะทีการแก้ปัญหาหนี้เน่าก็ยังไม่จบง่ายๆ NPLในเวียดนามที่พุ่งขึ้นมาอยู่ประมาณแปดแสนล้านบาทนั้น แก้มาตั้งแต่ปี 2013 ยังไม่ไปถึงใหน สถานการณ์ในเรื่องนี้ค่อนข้างแตกต่างกับของไทยสมัยก่อนซึ่งหนี้ด้อยคุณภาพส่วนใหญ่มาจากเอกชน ไม่ใช่มาจากธุรกิจรัฐที่รัฐบาลเวียดนามพยายามที่จะพยุงไม่ยอมปล่อยให้ล้ม นอกจากนั้นมีข่าวว่า อาจจะมีธนาคารเวียดนามถึงสิบแห่งจาก 39 แห่งยื่นขอล้มละลายหลังจากที่รัฐบาลเพิ่งบังคับใช้กฏหมายเมื่อช่วงต้นปี อนุญาตให้ธนาคารที่จมอยู่ในกองหนี้สามารถยื่นล้มละลายได้


แน่ละเมื่อเป็นแบบนี้ธนาคารต่างประเทศหลายแห่งทยอยขายสินทรัพย์ออกจากเวียดนามเป็นการใหญ่อย่างปีที่แล้ว BNP Paribas ขายหุ้นทั้งหมดใน OCB หลังจากที่อยู่กันมาร่วม 10 ปี, Standard Chartered Bank ขายหุ้นทั้งหมดใน ACB, HSBC ถอนการลงทุนใน Techcombank แล้ว Common Wealth Bank ของ ออสเตรเลีย กับ ANZ ก็ขายสินทรัพย์ออกมาเช่นกัน 


นี่ถ้ามองถึงความเสี่ยงทางด้านฐานะการเงินการคลังถือว่าต้องระวังเรื่อง crisis ไว้บ้างครับ ไทยเราผ่าน crisis แบบนี้มาแล้วตอนนี้ถือว่าฐานะเราโดยเฉพาะทุนสํารองนี่อันดับต้นๆของโลกเลย


ลุงสายลับพึ่งไปสืบมาว่าอีกไม่นาน ฝรั่งมันก็จะเพิ่ม เครดิตเรตติ้งให้ประเทศไทยเรา ทําให้ต้นทุนทางการเงินเราถูกลงหลังจากมีเลือกตั้ง อย่างช้าก็ธันวาคม เพราะเราดันตั้งรัฐบาลช้า แต่ฝรั่งมันนกรู้เรื่องนี้ มันก็เลยเข้ามาซื้อหุ้นไทยกันใหญ่เลยตอนนี้