“PRO” ผู้นำกำจัดขยะอุตสาหกรรม โชว์กำไรโต 3 ปีติด ธุรกิจขยายตัวรับอีอีซี

>>

Hightlight

  • บมจ. โปรเฟสชันแนล เวสต์ เทคโนโลยี (1999) หรือ PRO ผู้นำกำจัดขยะอุตสาหกรรม ระบุว่า ไตรมาส 1/2562 บริษัทยังเติบโตต่อเนื่อง มีรายได้รวม 76 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 54 ล้านบาท ในปี 2561 และมีกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ปีนี้จำนวน 13 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากกำไรสุทธิ 0.45 ล้านบาทในไตรมาส 1/2561
  • จุดเด่นของ PRO มีหลายประการคือ บริษัทเป็นผู้ให้บริการรับบำบัดของเสียอุตสาหกรรม ทั้งที่เป็นอันตรายและไม่เป็นอันตราย โดยมีพื้นที่ของโครงการขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ มีพื้นที่โดยรวมทั้งหมด 918 ไร่  ซึ่งพื้นที่ที่ใช้งานในปัจจุบันใช้ไปเพียง 1 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมดเท่านั้น
  • ฉะนั้น PRO มีศักยภาพในการรองรับกากของเสียให้บริการได้อีกไม่ต่ำกว่า 30 ปี  ยิ่งกว่านั้น บริษัทฯ มีสถานะการเงินที่เข้มแข็ง มีอัตรากำไรสุทธิที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไม่มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย       

 

 

รศ.ดร. วิไลลักษณ์ สกุลภักดี  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บมจ. โปรเฟสชันแนล เวสต์ เทคโนโลยี (1999) หรือ PRO เปิดเผยว่า หลังจากได้เข้ามาถือหุ้นใหญ่ และเข้ามาบริหารงานได้ร่วม 5 ปี สามารถปรับปรุงธุรกิจให้เข้มแข็งขึ้นอย่างมั่นคง และสร้างผลประกอบการให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง  โดยบริษัทฯ มีรายได้รวม 266 ล้านบาท ในปี 2560 และ 277 ล้านบาทในปี 2561 ในขณะที่กำไรสุทธิเติบโตสูง 65% เช่นกัน จากกำไรสุทธิ 20  ล้านบาทในปี 2560 เป็น 33 ล้านบาทในปี 2561 


ส่วนในไตรมาส 1 ปี 2562 บริษัทฯ ยังเติบโตต่อเนื่อง มีรายได้รวม 76 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 54 ล้านบาทในปี 2561 และมีกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ปีนี้จำนวน 13 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากกำไรสุทธิ 0.45 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2561 ซึ่งด้วยผลประกอบการที่มีรายได้และผลกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่อง บริษัทฯมีแผนที่จะยื่นขออนุญาตนำหุ้นกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อย่างถาวรในปีหน้า

 

 

จุดเด่นของ PRO มีหลายประการคือ บริษัทเป็นผู้ให้บริการรับบำบัดของเสียอุตสาหกรรม ทั้งที่เป็นอันตรายและไม่เป็นอันตราย โดยมีพื้นที่ของโครงการขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ มีพื้นที่โดยรวมทั้งหมด 918 ไร่  ซึ่งพื้นที่ที่ใช้งานในปัจจุบันใช้ไปเพียง 1 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมดเท่านั้น ฉะนั้น PRO มีศักยภาพในการรองรับกากของเสียให้บริการได้อีกไม่ต่ำกว่า 30 ปี 


ยิ่งกว่านั้นบริษัทฯ มีสถานะการเงินที่เข้มแข็ง มีอัตรากำไรสุทธิที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไม่มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย นอกจากนี้บริษัทยังมีธุรกิจหลอมอลูมิเนียมสำเร็จรูปดำเนินธุรกิจ โดยบริษัทย่อยคือ บริษัท เจทีเอส อลูมิเนียม แอนด์ เมทเทิล จำกัด ดำเนินธุรกิจภายใต้ใบอนุญาตอย่างถูกต้องของกรมโรงงาน โดยนำอลูมิเนียมและขี้เถ้าอลูมิเนียม นำกลับมาหลอมใหม่ด้วยเทคโนโลยีที่ได้รับมาตรฐาน เพื่อจำหน่ายให้ลูกค้าในประเทศต่อไป ซึ่งธุรกิจนี้มีอัตรากำไรที่ดีและมีอนาคตที่จะเติบโตต่อเนื่อง

 

นายพลพิพัฒน์ ศรีสุวรรณ กรรมการบริหาร บมจ. โปรเฟสชันแนล เวสต์ เทคโนโลยี (1999) หรือ PRO กล่าวว่า ธุรกิจหลักของ PRO คือ

 

  1. การกำจัดกากอุตสาหกรรม ที่ไม่เป็นอันตรายและเป็นอันตราย ซึ่งใช้ระบบฝังอย่างปลอดภัยและถูกหลักสุขาภิบาล (Sanitary & Secure Landfill) โดยมีศูนย์บำบัดกากอุตสาหกรรม จังหวัดสระแก้ว พื้นที่  918 ไร่ โดยมีกำลังการผลิตการกำจัดกากอุตสาหกรรมแบบที่เป็นอันตราย 82,500 ตันต่อปี และมีกำลังการผลิตการกำจัดกากอุตสาหกรรมแบบที่ไม่เป็นอันตราย 330,000 ตันต่อปี โดยบริษัทได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ลำดับที่ 101, 105, 106 ที่ได้รับจากกรมโรงงานกระทรวงอุตสาหกรรม และความเห็นชอบในรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จากสำนักงานนโยบายสิ่งแวดล้อม เป็นใบอนุญาตความเห็นชอบที่ไม่มีข้อจำกัดเรื่องระยะเวลา และไม่ต้องต่ออายุ
  2. การนำของเสียมาใช้รีไซเคิล คือการทำเชื้อเพลิงผสม เป็นระบบที่ใช้ในการผสมและปรับสภาพกากของเสียที่มีความร้อน ให้กลายเป็นพลังงานทดแทนหรือเชื้อเพลิงทดแทนสำหรับเตาเผาโรงงานปูนซีเมนต์ 
  3. ระบบบำบัดน้ำเสียที่เป็นอันตรายและไม่เป็นอันตราย จากหลุมฝังกลบและน้ำเสียจากกิจกรรมต่างๆในโรงงาน ซึ่งมีความสามารถในการบำบัดสูงสุด 70 – 125 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน

 

บริษัทมีแผนและนโยบายในการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพในการให้บริการ โดยในปีที่ผ่านมามีการก่อสร้างอาคารห้องปฎิบัติการแห่งใหม่ เพื่อรองรับการวิเคราะห์กากอันตราย ซึ่งจะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นในอนาคต และมีแผนในการก่อสร้างโรงงานทำปุ๋ยและโรงงานทำอิฐบล็อก เพื่อนำกากอุตสาหกรรมบางชนิดให้สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีก

 

นอกจากนี้บริษัทได้รับประโยชน์จากนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ของรัฐบาลที่ส่งเสริมการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเพื่ออนาคตของประเทศไทย ทำให้มีการเปิดโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้นกว่า 20,000 โรงงาน ในเขตจังหวัดชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา สระแก้ว และปราจีนบุรี ทำให้บริษัทมีโอกาสได้งานเพิ่มมากขึ้น จากการเปิดโรงงานที่เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับ EEC