เจาะธุรกิจ JKN ทำไมนายแพทย์เฉลิม ตัดสินใจเข้าลงทุน ?

>>

ในปี 2561 ที่ผ่านมา มีข่าวที่นักลงทุนให้ความสนใจ จากการที่ รศ.ดร.นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่มโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ นักลงทุนแนว VI ชื่อดัง ที่ตัดสินใจเข้าซื้อหุ้น Big Lot บมจ. เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย รวม 4 ครั้ง จำนวน 25 ล้านหุ้น หรือราว 4.63% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดจากครอบครัว ‘จักราจุฑาธิบดิ์’ ในราคาเฉลี่ย 12.01 บาทต่อหุ้น สูงกว่าราคาบนกระดานในช่วงที่ซื้อขาย ซึ่งนักลงทุนหลายคนยังเกิดคำถามว่า ทำไม รศ.ดร.นพ.เฉลิม ถึงสนใจและเข้าลงทุนซื้อหุ้นตัวนี้?

 



โอกาสเติบโตของ JKN 

อุตสาหกรรมคอนเทนต์ในไทยและอาเซียนที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว รวมถึงการแข่งขันระหว่างช่องทีวีดิจิทัล ทำให้ความต้องการคอนเทนต์สูงขึ้น JKN ซึ่งมีลิขสิทธิ์คอนเทนต์จำนวนมากอยู่ในมือ โดยเฉพาะซีรีส์และภาพยนตร์จากต่างประเทศ ทั้งเกาหลี จีน อินเดีย ฟิลิปปินส์ และสหรัฐอเมริกา ตลอดจนคอนเทนต์สารคดี รายการสำหรับเด็ก คอนเสิร์ต รายการข่าว และรายการบันเทิงต่างๆ รวมกว่า 3,300 คอนเทนต์ จึงเป็นจุดแข็งสำคัญที่จะทำให้บริษัทสามารถเติบโตควบคู่ไปกับอุตสาหกรรม

 




นอกจากนี้ JKN ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายลิขสิทธิ์ละครช่อง 3 ในตลาดโลก และได้รับสิทธิ์ให้ผลิตคอนเทนต์รายการข่าวช่อง CNBC Thailand ภายใต้แบรนด์ CNBC จาก National Broadcasting Company Universal (NBC) สหรัฐอเมริกา เป็นระยะเวลา 10 ปี 

และ JKN ยังสนใจผลิตรายการเกี่ยวกับการเงินการลงทุน ให้กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามนโยบายที่เปิดกว้างให้ผู้ประกอบการในธุรกิจสื่อที่มีความเชี่ยวชาญ ได้นำเสนอคอนเทนต์การเงินและการลงทุน หลังยกเลิกการออกอากาศช่อง Money Channel เรียกว่าปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยสร้างการเติบโต และทำให้โครงสร้างรายได้ของบริษัทมีเสถียรภาพมากขึ้น 

 



ความเห็นจากนักวิเคราะห์สะท้อนความแข็งแกร่ง

ขณะที่ความคิดเห็นจากนักวิเคราะห์มีมุมมองที่ดีในระยะยาว โดย บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส มองว่าแนวโน้มปี 2562 ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง จากความนิยมซีรีส์อินเดียที่เพิ่มสูงขึ้น การขยายตลาดเพื่อนำซีรีส์ฟิลิปปินส์เข้ามาจำหน่ายเพิ่มเติม และความร่วมมือกับ BEC World ในการนำละครไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ

ขณะเดียวกัน ค่าตัดจำหน่ายต่อหน่วยที่ปรับตัวลดลงก็ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น ซึ่ง DBS Vickers ประเมินว่า JKN ถือเป็นหนึ่งในหุ้นเติบโต โดยคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS growth) ในปี 2561-2563 ที่ 27%, 48%, 21% ตามลำดับ






นักวิเคราะห์จาก บล.เคทีบี มองว่าราคาหุ้น JKN อาจปรับตัวลง จากผลการดำเนินงานใน Q3/2561 ที่ชะลอตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า ส่วนราคาปัจจุบันยังน่าสนใจ เพราะบริษัทจะได้รับประโยชน์จากการแข่งขันของช่องทีวีดิจิทัล โดยปัจจุบันบริษัทฯ เทรดอยู่ที่อัตราส่วนราคาต่อหุ้น (P/E Ratio) 17.6x แต่ยังไม่ได้รวมรายได้จาก B-flix, JKN Zee Magic, การจำหน่าย e-Book, รายได้จากซีรีส์สยามรามเกียรติ์ และ co-production ในการประเมินราคาหุ้น





ส่วนนักวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.โกลเบล็ก ได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2561 ขึ้น 8% มาอยู่ที่ 244 ล้านบาท จากเดิมคาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ 255 ล้านบาท เนื่องจากมองว่า JKN จะมีรายได้รวมปรับตัวสูงขึ้น จากเดิมราว 4% มาอยู่ที่ 1,444 ล้านบาท และปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2562 ขึ้น 7% มาอยู่ที่ 342 ล้านบาท จากเดิมคาดจะอยู่ที่ 320 ล้านบาท เนื่องจากคาดว่ารายได้จะเติบโต 11% หรืออยู่ที่ 1,603 ล้านบาท ตามยอดขายคอนเทนต์ในประเทศที่สูงขึ้นจากลูกค้าใหม่ คือ ช่อง ททบ.5 และลูกค้าต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นจากการเดินสายโรดโชว์ 

ซึ่งคาดว่าจะมากกว่าการเติบโตของค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น 4% มาอยู่ที่ 913 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้บริษัทฯ ลดเงินลงทุนในการซื้อคอนเทนต์เหลือ 600 ล้านบาท จากเดิมที่ 800 ล้านบาท เพราะมีคอนเทนต์ในมือเพียงพอต่อการเติบโตแล้ว ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในปี 2561 มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 43% จาก 39% และอัตรากำไรสุทธิปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 21% จาก 17% 

ปัจจุบัน JKN ยังเดินหน้านำเข้าลิขสิทธิ์และพัฒนาคอนเทนต์ที่หลากหลาย ซึ่งด้วยปัจจัยสนับสนุนที่เป็นโอกาสเติบโตของบริษัทฯ และประสบการณ์ที่อยู่ในธุรกิจมาอย่างยาวนาน ประกอบกับจุดแข็งที่มีลิขสิทธิ์คอนเทนต์มากกว่า 3,300 คอนเทนต์ ทำให้เป็นอีกหนึ่งบริษัทฯ ที่มีเทรนด์น่าจับตามอง และได้รับความนิยมจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง …