“การเมืองร้อน”...ดับฝันหุ้นไทย ‘Pre-Election Rally’

>> นี่นับถอยหลังเหลือเวลาอีกประมาณ 1 เดือน คนไทยก็จะได้เดินเข้าคูหา “เลือกตั้ง” กันแล้วตามกำหนดในวันที่ “24 มี.ค. 19” ที่กำลังจะมาถึง “ทีมงาน Wealthythai.com” ก็ขอเชิญชวนประชาชนคนไทยทุกคนที่มีสิทธิ ออกไปแสดงพลังของตัวเองเพื่อร่วมเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของชาติไทยไปด้วยกันในครั้งนี้

นี่นับถอยหลังเหลือเวลาอีกประมาณ 1 เดือน คนไทยก็จะได้เดินเข้าคูหา “เลือกตั้ง” กันแล้วตามกำหนดในวันที่ 24 มี.ค. 19” ที่กำลังจะมาถึง “ทีมงาน Wealthythai.com” ก็ขอเชิญชวนประชาชนคนไทยทุกคนที่มีสิทธิ ออกไปแสดงพลังของตัวเองเพื่อร่วมเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของชาติไทยไปด้วยกันในครั้งนี้

ย้อนกลับไปในช่วงไตรมาสที่3/18 เราคงจะได้ยินได้ฟังค่ายสำนักต่างๆ ออกมาพูดถึงเรื่องของ “ตลาดหุ้นไทยวิ่งรับเลือกตั้ง (Pre-Election Rally)” กันมาบ้าง ส่วนแนวคิดและสถิติของแต่ละค่ายสำนักอาจจะแตกต่างกันไปบ้างในรายละเอียด แต่พอจับใจความได้ว่า...ก่อนเลือกตั้ง หุ้นไทยมาแน่ สถิติฟ้องไว้แบบนั้น

เหลือ 1 เดือน... ลุ้นปรากฎการณ์ “Pre-Election Rally”

มีสถิติหนึ่งที่พูดถึงกันในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น ระบุว่าจากสถิติย้อนหลัง 26 ปี นั้น มีการเลือกตั้ง 12 ครั้ง ต่างชาติซื้อทั้งสิ้น โดยจะเข้าซื้อล่วงหน้าก่อนเลือกตั้งประมาณ 5 – 6 เดือน จากโรดแมพ (Road Map) การเลือกตั้ง (ในขณะนั้นประมาณปลายเดือนก.พ.19) ก็คือช่วงเดือน ‘ก.ย.-ต.ค.18’ นี้ โดยคาดว่านักลงทุนต่างชาติน่าจะกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยประมาณ 1 แสนล้านบาท ในช่วง 6 เดือนก่อนเลือกตั้ง ซึ่งจากข้อมูลก่อนการเลือกตั้งในอดีต พบว่าตลาดหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนดีสุดถ้าลงทุนก่อนเลือกตั้งประมาณ 6 เดือน โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 6% หรือประมาณ 100 จุด ทำให้ได้เป้าหมายดัชนีก่อนเลือกตั้งที่ 1,850 จุด ในไตรมาสที่1/19 นั่นเอง

ขออนุญาตพาทุกท่านหมุนเวลาย้อนกลับไปช่วงไตรมาสที่3/18 ที่ผ่านมา เป็นการมองจากเวลาปัจจุบันกลับไปอีกครั้งก่อนเลือกตั้งประมาณ 6 เดือน นับตั้งแต่เดือน ‘ก.ย.18 – 26 ก.พ.19’ ต่างชาติมียอด ‘ขายสุทธิ’ 78,650.14 ล้านบาท โดยขายสุทธิต่อเนื่องมาตั้งแต่ก.ย.18-ธ.ค.18 จัดหนัก 4 เดือนเต็มๆ ก่อนกลับมา ‘ซื้อสุทธิ’ ในปี19 ที่ผ่านมา

“แต่จากยอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ (SET+MAI) ที่มีอยู่ 78,650.14 ล้านบาท ถ้าอยากเห็นยอดซื้อสุทธิเข้ามาก่อนเลือกตั้งประมาณ 100,000 ล้านบาท ช่วงเวลาที่เหลือต่างชาติต้องจัดหนัก...จัดเต็ม ด้วยยอดซื้อสุทธิไม่ต่ำกว่า 178,650.14 ล้านบาท ในช่วงเวลา 1 เดือนที่เหลือนี้ ถามว่าเป็นไปได้มั้ย ในโลกของการลงทุน....ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ แต่ถามว่ายากมั้ย...ขอตอบเลยว่า... ‘ยาก’ ขอตัวเลขซื้อสุทธิก่อนเลือกตั้งแค่ครึ่งเดียว 50,000 ล้านบาท ช่วงที่เหลือ 1 เดือนนี้ ก็ต้องการยอดซื้อสุทธิจากนักลงทุนต่างชาติถึง 128,650.14 ล้านบาท แล้ว”

“การเมืองร้อน”...ปัจจัยลบ-ทำภาพไทยไม่ชัดเจน

มาดูทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยกันบ้าง สิ้นเดือนก.ย.18 ตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1,756.41 จุด ค่าเฉลี่ยก่อนเลือกตั้ง 6 เดือน ตลาดหุ้นไทยจะบวกประมาณ 6% นั่นคำนวณกลับมาเป็นเป้าหมายตลาดหุ้นไทยช่วงก่อนเลือกตั้ง (24 มี.ค. 19) ที่ 1,861.80 จุด โดยประมาณ ปัจจุบัน (ณ 26 ก.พ. 19) ตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1,663.56 จุด ต่ำกว่าดัชนีสิ้นเดือนก.ย.18 อยู่ 5.29% (ออกแนวตรงกันข้ามกับสถิติในอดีต) แต่ภายใต้ตลาดการลงทุน...ทุกอย่างเป็นไปได้ เหลือเวลาก่อนเลือกตั้งอีกประมาณ 1 เดือน ที่ตลาดหุ้นไทยจะต้องปรับตัวขึ้นไปอีกประมาณ 11.92% เพื่อจะถึงค่าเฉลี่ยของสถิติในอดีตที่บวกประมาณ 6% ก่อนเลือกตั้ง

สาห์รัช ชัฏสุวรรณ” ผู้อำนวยการสายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทิสโก้ จำกัด มองว่า การเมืองไทยเป็นเรื่องที่ประเมินได้ยาก ขนาดคนไทยที่อยู่ในประเทศยังไม่แน่ใจ ยังไม่ชัดเจนกับภาพที่จะปรากฏในอนาคตว่าจะมีพัฒนาการไปในรูปแบบใด ลองนึกถึง ‘นักลงทุนต่างชาติ’ ที่อยู่ไกลออกไปแล้วไม่ได้ใกล้ชิดตลาดเขาจะมั่นใจได้ยังไง คนไทยยังไม่แน่ใจเลย นั่นมองในแง่ของความรู้สึกด้านจิตวิทยาการลงทุน แต่ถามว่าในแง่ของนโยบายต่างๆ เราไม่ค่อยกังวลเพราะรัฐบาลไหนเข้ามาก็คงต้องเดินหน้าสานต่อโดยเฉพาะเรื่องการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เป็นต้น ตลาดหุ้นไทยช่วงก่อนเลือกตั้งก็อาจจะดี ‘หลังเลือกตั้ง’ แล้วค่อยมาดูหน้าตารัฐบาลอีกครั้งในลักษณะนั้นมากกว่า อย่างไรก็ตามในมุมของบริษัทหากดัชนีตลาดหุ้นไทยถูกปัจจัยลบมากระทบจนต่ำกว่าระดับ 1,600  จุด ถือเป็นระดับที่น่าสนใจเข้าลงทุนในหุ้นไทยแล้ว
( สาห์รัช ชัฏสุวรรณ )

“หลังเลือกตั้งมีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง นักลงทุนต่างชาติบางกลุ่มที่เคยติดเงื่อนไขการลงทุนจากปัจจัยการเมือง ก็คงกลับเข้ามาลงทุนได้อีกครั้ง เราประเมินเป้าหมายตลาดหุ้นไทยปีนี้ไว้ที่ 1,750 – 1,800 จุด ในส่วนของความเสี่ยงในขาลง (Downside) นั้น เป็นเรื่องที่ประเมินได้ยากขึ้นกับพัฒนาการทางการเมืองของไทยเองว่าจะเป็นอย่างไร แต่การเลือกหุ้นลงทุนเราคงต้องมองที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นสำคัญ หุ้นกลุ่มที่บริษัทชอบเป็นกลุ่มท่องเที่ยวและหุ้นที่อิงกับการบริโภคในประเทศ อิงกับการลงทุนภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ส่วนกลุ่มที่ไม่ชอบ ได้แก่ กลุ่มที่พึ่งพิงการส่งออก อสังหาริมทรัพย์ สำหรับการเมืองท้ายที่สุดจะได้พรรคไหนมาเป็นรัฐบาลก็ได้ทั้งนั้น เพราะตลาดหุ้นไม่เลือกข้างอยู่แล้ว”

ลุ้นหุ้นไทยไปต่อ... “หลังเลือกตั้ง”

“กัมพล จันทวิบูลย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ไทยพาณิชย์ จำกัด บอกว่า ปัจจัยลบทางการเมืองไม่ใช่ปัจจัยที่จะทำให้ ‘หุ้นลง’ แต่เป็นปัจจัยที่กดไม่ให้ ‘หุ้นขึ้น’ จากสถิติ จากสถิติการเลือกตั้ง 6 ครั้งหลังของไทย ตลาดหุ้นมีทั้งขึ้นและลง ‘เสถียรภาพ’ ทางการเมืองถ้ามั่นคง ก็อาจจะส่งผลให้ระยะสั้นหุ้นขึ้นได้ หรือถ้าไม่มีตลาดหุ้นก็จะไม่ไปไหนเท่านั้นเอง แต่ตลาดหุ้นในระยะยาวจะไปได้หรือไม่นั้นขึ้นกับ ‘ปัจจัยพื้นฐาน’ เป็นสำคัญ ช่วงครึ่งหลังปี18 ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงจากความกังวลเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน รวมถึงแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (FED)

แต่ข้ามปีมาในปี2019ภาพเปลี่ยน FED ชะลอการขึ้นดอกเบี้ย ในระยะสั้นการเจรจาการค้าสหรัฐกับจีนก็มีพัฒนาการเชิงบวก ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ rebound กลับขึ้นมาอีกครั้ง
( กัมพล จันทวิบูลย์ )

“แต่สังเกตว่า ตลาดหุ้นไทย rebound กลับมาด้วยขนาดที่น้อยกว่าตลาดในภูมิภาคอย่างฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นไทยถ้าเทียบกับเพื่อนบ้านไม่ได้ถูกมาก กำไรบริษัทจดทะเบียนก็โตลดลง ในขณะที่ตลาดเพื่อนบ้านกำไรบริษัทจดทะเบียนยังเติบโตสูงกว่า แม้ช่วงต้นปี19 มานี้ จะเห็นเงินต่างชาติไหลกลับเข้ามา แต่เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านก็ยังน้อยกว่ามาก ในขณะที่เข้าไทยมา 281 ล้านดอลลาร์ แต่ไหลเข้าอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ 756 ล้านดอลลาร์ และ 444 ล้านดอลลาร์ ตามลำดับ”

สำหรับหุ้นไทยหากการเมืองในประเทศนิ่ง FED ไม่ขึ้นดอกเบี้ย สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนไม่มีอะไรเซอร์ไพรซ์ในเชิงลบขึ้นมาอีก เรามองตลาดหุ้นไทยปีนี้อยู่ที่ 1,700 – 1,800 จุด โดยคาดว่าจะดีในช่วงไตรมาสที่2-3 ถ้าธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ขึ้นดอกเบี้ยด้วยก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นไทยด้วยเช่นกัน ในระยะสั้นหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจ ได้แก่ ค้าปลีก ,อาหาร และท่องเที่ยว แต่ถ้ามองในระยะยาวกลุ่มขนส่ง และนิคมอุตสาหกรรมก็ยังคงน่าสนใจเช่นกัน

ท้ายสุดผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร เชื่อว่าปี2019 นี้ “ตลาดหุ้นไทย” ก็ยังจะคงเดินหน้าต่อไปได้ แม้อาจจะไม่ได้ร้อนแรงอย่างที่หลายฝ่ายประเมินกันไว้ในช่วงก่อนหน้านี้ก็ตาม