“บลจ.กสิกรไทย”...เตรียมจ่ายปันผล 4 ‘กอง LTF’ + ‘กอง K-PROP’ รวมกว่า 1,000 ล้านบาท ผู้ลงทุนรอรับเงิน 14 มี.ค. นี้
นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต Chief Investment บลจ.กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) จำนวน 4 กองทุน สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.18 - 28 ก.พ. 19 ประกอบด้วย
- ‘กองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาวปันผล (KDLTF)’ ในอัตรา 0.13 บาทต่อหน่วย
- ‘กองทุนเปิดเค 70:30 หุ้นระยะยาวปันผล (K70LTF)’ ในอัตรา 0.13 บาทต่อหน่วย
- ‘กองทุนเปิดเค โกรทหุ้นระยะยาวปันผล (KGLTF)’ ในอัตรา 0.12 บาทต่อหน่วย
- ‘กองทุนเปิดเค 20 ซีเล็คท์หุ้นระยะยาวปันผล (K20SLTF)’ จ่ายปันผลในอัตรา 0.11 บาทต่อหน่วย
นอกจากนี้ยังเตรียมจ่ายปันผล ‘กองทุนเปิดเค พร็อพเพอร์ตี้ เซคเตอร์
(K-PROP)’ ในอัตรา 0.54 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 18 - 28 ก.พ. 19
“โดยทั้ง 5 กองทุนจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ลงทุนที่มีรายชื่อในสมุดทะเบียน ณ เวลา 8.00 น. ของวันที่ 28 ก.พ. 19 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวพร้อมกันในวันที่ 14 มี.ค. 19 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้นกว่า 1,069.69 ล้านบาท”
ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา LTF ทั้ง 4 กองทุน ได้แก่ KDLTF, K70LTF, KGLTF และ K20SLTF จ่ายปันผลไปแล้วรวม 2 ครั้ง โดยคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ยที่ 4.28-5.60% ต่อปี ส่วน ‘กอง K-PROP’ มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 11.63% และจ่ายปันผลไปแล้วรวม 3 ครั้ง (ที่มา Bloomberg: ณ วันที่ 4 มี.ค. 19)
นางสาวธิดาศิริ ยังกล่าวอีกว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น SET Index ปรับขึ้นต่อเนื่องจากช่วงต้นปี โดยมีปัจจัยหลักคือ การส่งสัญญาณชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ ที่ช่วยลดความกังวลต่อสภาพคล่องโลกตึงตัว และส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลง ประกอบกับการกำหนดวันเลือกตั้งชัดเจนของไทยส่งผลบวกต่อบรรยากาศการลงทุนโดยรวม ขณะที่ความคืบหน้าเชิงบวกของการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ที่ล่าสุดมีการเลื่อนการปรับขึ้นอัตราภาษีจาก 10% เป็น 25% จากกำหนดเดิม 1 มี.ค. 19 ออกไปโดยไม่มีกำหนด ส่งผลให้ความกังวลเรื่องผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกลดลง
“อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น มีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการเลือกตั้งของไทยที่จะมีขึ้นในช่วงปลายเดือนมี.ค.นี้ การเจรจาเรื่อง Brexit ก่อนกำหนดเส้นตายช่วงปลายเดือนมี.ค. และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมไปถึงความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน”
บริษัทประเมินว่า ในระยะสั้น SET Index จะปรับตัวผันผวนในช่วง 1,600-1,680 จุด และยังคงเป้าหมาย SET Index ณ สิ้นปี19 ที่ระดับ 1,750 จุด ด้วย Forward PE ปี19 ที่ 15.7 เท่า
นางสาวธิดาศิริ กล่าวเสริมว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ มองว่า REIT กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน มีการปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหลักจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐส่งสัญญาณผ่อนคลายการขึ้นดอกเบี้ยและการปรับลดงบดุล ทั้งนี้ สินทรัพย์ประเภทนี้ยังให้ผลตอบแทนที่ดีและผันผวนน้อยกว่าหุ้น จึงเหมาะสมสำหรับการลงทุนที่ต้องการความเสี่ยงต่ำในภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
“บริษัทยังมีมุมมองบวกต่อการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยและสิงคโปร์ ซึ่งอัตราผลตอบแทนเงินปันผลของหน่วยลงทุนอสังหาริมทรัพย์ทั้งในไทยและสิงคโปร์อยู่ที่ประมาณ 5-6% ซึ่งสูงเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม”