“การเมืองหลังเลือกตั้ง”...หนึ่งในปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจไทย

>>

หากมองเศรษฐกิจของไทยเองนั้น ปีนี้ก็มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปีก่อนเช่นกัน โดยปัจจัยเสี่ยงหลักๆ นั้นจะมาจาก ต่างประเทศ เป็นสำคัญ แต่หนึ่งในปัจจัยเสี่ยง ในประเทศ ที่คงยังต้องจับตากันอย่างใกล้ชิดก็คือ การเมือง นั่นเอง


ทีมงาน Wealthythai.com มีมุมองที่น่าสนใจเก็บตกจากงาน ONEAM Investment Forum 2019” ที่จัดโดย บลจ.วรรณ มาฝากกัน


“การเมืองไร้เสถียรภาพ”...ทะเลาะนอกสภาปัจจัยเสี่ยงหลัก

“ดร.ดอน นาครทรรพ” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย มองว่า ปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในปี2019 นี้ส่วนใหญ่จะมาจากต่างประเทศ ซึ่งยังคงเป็นสิ่งที่ต้องจับตาดูพัฒนาการอย่างใกล้ชิดต่อไป ทั้งในส่วนของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่ในระยะสั้นดูดีขึ้นแต่ก็ยังวางใจไม่ได้

แต่ยังมีภาษีอีกอย่าง คือ Auto Tariffs ที่สหรัฐใช้กับทุกประเทศทั่วโลก ไม่ใช่แค่จีนตรงนี้ก็ต้องจับตาดูเช่นกัน รวมถึงเศรษฐกิจจีนเองที่จะต้องพยายามสร้างสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ให้เกิดเป็นความเสี่ยงในระบบบเศรษฐกิจของตัวเองในระยะยาวขึ้นมาได้ เพราะถ้าเศรษฐกิจจีนแย่เราก็คงแย่ไปด้วย


( ดร.ดอน นาครทรรพ )


“ปัจจัยเสี่ยงในประเทศเอง ซึ่งแบงก์ชาติก็หวังว่าทุกอย่างจะไม่มีอะไรที่น่ากังวล รัฐบาลหลังเลือกตั้งคงจะเป็น รัฐบาลผสม ซึ่งคงจะขับเคลื่อนโครงการอะไรใหม่ๆ ได้ยาก รัฐบาลใหม่อาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนักจากสิ่งที่รัฐบาลปัจจุบันทำไว้

และไม่ว่าจะได้ใครมาเป็นรัฐบาลก็เชื่อว่าโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะได้รับการสานต่อ ที่น่าห่วงคือการทะเลาะกันทางการเมือง ถ้าทะเลาะกันในสภาก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้า เสถียรภาพไม่ดี จนออกมาทะเลาะกันนอกสภาตรงนั้นจะน่าห่วงมากและจะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยได้เช่นกัน”


หวั่นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน...‘สะดุด’

“ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์” ประธานสถาบัน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ยอมรับว่า เศรษฐกิจโลกปี19 มีแนวโน้มชะลอตัวลงแต่ไม่ใช่ เศรษฐกิจถดถอย (Recession)’ ที่เศรษฐกิจเติบโตติดลบแต่ประการใด โดยโลกจะมีการเติบโตที่ แตกต่าง กันไปในปีนี้ มีทั้งเศรษฐกิจที่โตช้าอย่าง สหรัฐ หรือ ยุโรป เป็นต้น

กับเศรษฐกิจที่เติบโตสูง ได้แก่ อาเซียน ที่เฉลี่ยโต 5%โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง (CLMV) เพราะเติบโตจากฐานที่ต่ำ จีน ก็ยังเติบโตดีแม้จะชะลอลงมาบ้างแต่ก็เป็นความตั้งใจของรัฐบาลจีนเอง การโต 6.0-6.5% ในปี19 ถือว่ายังสูง แม้จะมีบางเสียงมองว่าตั้งแต่ปี2008 เป็นต้นมา อาจจะมีการประมาณการเศรษฐกิจจีนสูงเกินไป 2% ต่อปีก็ตาม หากตัด GDP ของจีนออกไป 2% ก็ยังโต 4.0-4.5% ก็ถือว่ามีการเติบโตที่สูงอยู่ดี

( ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ )


“รัฐบาลหลังเลือกตั้งน่าจะเป็น รัฐบาลผสม ซึ่งส่วนใหญ่ไทยก็มีรัฐบาลผสมมาตลอด แต่ครั้งนี้...เราจะมีรัฐบาลผสมที่มีพรรคเยอะมากที่สุด และดูแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นตัวแปรที่สำคัญ เพราะประเมินแล้ว พรรคพลังประชารัฐหรือ พรรคเพื่อไทยเองไม่น่าจะรวมเสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาลได้เพียงลำพัง นั่นจึงทำให้ประชาธิปัตย์เป็นตัวแปรในการจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ ซึ่งหากประชาธิปัตย์ไม่เลือกข้างใดเลย ประเทศก็ไปต่อไม่ได้อีกเหมือนกัน”

ที่สำคัญไม่รู้ว่ารัฐบาลหลังเลือกตั้งจะมี ความมุ่งมั่น เข้มแข็งเหมือนกับเจ้าของไอเดียเดิมหรือเปล่า โครงการ EEC เป็นโครงการใหญ่ที่เลิกยากจริง แต่ก็มีโครงการใหญ่ที่อาจจะ ปิดไม่ทัน รัฐบาลนี้ด้วยเช่นกัน เช่น รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ถ้าเจรจากับรายแรกไม่เสร็จ จะเรียกรายที่2 มาเจรจาต่อหรือไม่ หรือจะล้มโต๊ะแล้วเริ่มกันใหม่ ถ้าเริ่มใหม่จะไม่มีระบบขนส่งเชื่อม 3 สนามบิน แต่มีสนามบินที่ไม่มีระบบขนส่งเชื่อมก็จะเป็นปัญหาตามมาอีก และยังมีโครงการลักษณะเช่นนี้อีกหลายโครงการอาจจะสะดุดได้เช่นกัน


เชื่อ
ต่างชาติ มั่นใจขนเงินกลับลงทุน...หลังมีรัฐบาล

“พจน์ หะริณสุต” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ จำกัด ยอมรับว่า นักลงทุนต่างชาติกลับมาขายหุ้นไทยในช่วงนี้ส่วนหนึ่งคงจะรอดู ผลการเลือกตั้ง ประกอบกับกำไรบริษัทจดทะเบียนปี2018 ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์อาจเป็นส่วนหนึ่งทำให้นักลงทุนขายหุ้น อย่างไรก็ตามหากหลังเลือกตั้งมีการจัดตั้งรัฐบาลได้เร็วและมีความต่อเนื่อง

โดยไม่มีการประท้วงเกิดขึ้น ถือเป็นสัญญาณให้นักลงทุนต่างชาติกลับมามองไทยและตลาดหุ้นไทยก็น่าจะปรับขึ้นได้ หาก ไม่มีเลือกตั้ง ตลาดก็ไม่น่าสนใจ เงินต่างชาติก็ไม่น่าจะไหลเข้า เพราะราคาหุ้นไทยตอนนี้ไม่ได้ ถูก หรือ แพง ขณะที่เศรษฐกิจก็เติบโตไม่มากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน

( พจน์ หะริณสุต )


“ตลาดหุ้นในระยะสั้นก่อนมีการเลือกตั้ง หากดูจากสถิติที่ผ่านมา ถ้าก่อนเลือกตั้งหุ้นจะปรับตัวขึ้นและหลังเลือกตั้งจะปรับตัวลง แต่หากก่อนการเลือกตั้งหุ้นไม่ขึ้น หลังเลือกตั้งก็จะปรับตัวลงไม่มาก ทั้งนี้หลังเลือกตั้งหากรัฐบาล มีเสถียรภาพ ประเมินว่าเงินลงทุนต่างชาติมีโอกาสไหลกลับเข้าประมาณ 50,000-100,000 ล้านบาท และหนุนให้ดัชนีหุ้นไทยขยับไปแตะระดับ 1,850 จุด ได้เช่นกัน โดยบริษัทประเมินเป้าดัชนีหุ้นไทยปีนี้ไว้ที่ 1,723 จุด ที่กำไรบริษัทจดทะเบียน 111 บาทต่อหุ้น ที่สัดส่วนราคาต่ำกำไรสุทธิ (P/E) 14.8 เท่า”

โดยสรุป “การเมืองไทย” น่าจะเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงธรรมชาติของเศรษฐกิจไทยก็ว่าได้ ซึ่งส่งผลได้ทั้งในทาง ‘บวก’ และทาง ‘ลบ’ ท้ายที่สุดไม่ว่าจะได้ใครมาเป็นรัฐบาลก็ขอให้นึกถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้งก็เพียงพอแล้ว