"เออีซี" ประเมินหุ้นโค้งสุดท้าย นักลงทุนลดความกังวลความเสี่ยงทางการเมือง พร้อมกลับมาเชื่อมั่นมากขึ้น
>> "เออีซี" ประเมินหุ้นโค้งสุดท้าย นักลงทุนลดความกังวลความเสี่ยงทางการเมือง พร้อมกลับมาเชื่อมั่นมากขึ้น
Hightlight
- บล.เออีซี ประเมินช่วงโค้งสุดท้ายเลือกตั้ง นักลงทุนจะลดความกังวล Political Risk พร้อมกลับมามีความเชื่อมั่นมากขึ้น
- ให้กรอบดัชนีตลาดหุ้นเดือนมีนาคม เคลื่อนไหวในกรอบ 1,620-1,675 จุด
- หลังการเลือกตั้ง มองหุ้นค้าปลีก ท่องเที่ยวและหุ้นกลุ่มสื่อได้ประโยชน์มากที่สุด
บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS ระบุว่า ภาพรวมทิศทางตลาดไทยในสัปดาห์นี้มอง SET Index ได้อานิสงส์จากมุมมองเชิงบวกของนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบัน เพราะเข้าใกล้ช่วงโค้งสุดท้ายของวันเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 โดยคาดว่าจะทำให้ลดความกังวล Political Risk พร้อมกับมามีความเชื่อมั่นมากขึ้น หนุนให้ทั้งการลงทุนและการท่องเที่ยวดีขึ้น
ปัจจัยต่างประเทศ
ส่วนปัจจัยต่างประเทศตลาดยังคงรอความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน โดยการประชุมระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์และประธานาธิบดีจีน นายสี จิ้นผิง คาดจะเกิดขึ้นช่วงต้นเดือน เม.ย.นี้ รวมทั้งติดตามความคืบหน้าประเด็น Brexit หลังรัฐสภาอังกฤษมีมติเลื่อนกำหนด Brexit จากวันที่ 29 มี.ค. ออกไปอีก 3 เดือนโดยจะต้องผ่านข้อตกลงที่ทางนายกรัฐมนตรีอังกฤษ นางเทเรซา เมย์ ยื่นข้อเสนอในวันที่ 20 มี.ค. และทาง EU จะจัดประชุมในวันที่ 21-22 มี.ค.นี้เพื่อลงมติการเลื่อนBrexit ที่กรุงบรัสเซลส์ และการติดตามการประชุม FED ในวันที่ 19-20 มี.ค. คาดยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.25-2.50% จาก Implied Prob. การคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 97.7%
หลังเลือกตั้งหุ้นกลุ่มไหนได้ประโยชน์บ้าง?
ดังนั้นประเมินว่า SET Index มีแรงซื้อกลับในช่วงปลายเดือนมีนาคมอีกครั้ง โดยกรอบดัชนีรายเดือนมีแนวรับ 1,620 จุด และแนวต้าน 1,675 จุด มองเป็นโอกาสเข้าซื้อ 3 กลุ่ม หุ้นเด่น ดังนี้ กลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์หลังเลือกตั้ง เช่น กลุ่มค้าปลีก ซึ่งคาดว่าหลังเลือกตั้งภายใต้รัฐบาลใหม่จะเข้ามาแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนเป็นอันดับต้นๆ มองอานิสงส์บวกดังกล่าวหนุนกลุ่มค้าปลีกได้ประโยชน์จากกำลังซื้อที่มากขึ้น เลือกหุ้นที่คาดจะได้ประโยชน์ ได้แก่ BJC, CPALL, หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว
คาดว่าหลังจากประเทศไทยเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง ทำให้นักท่องเที่ยวบางกลุ่มมีมุมมองความเสี่ยงทางการเมืองของประเทศไทยที่ลดลง คาดทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น เลือกหุ้นที่คาดจะได้ประโยชน์ ได้แก่ AAV, AOT และกลุ่มสื่อ ซึ่งคาดว่าเอเจนซี่ที่ชะลอการใช้เม็ดเงินในช่วงก่อนหน้าจะกลับมาอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่อุตสาหกรรมอีกครั้ง หลังการเลือกตั้งมีความชัดเจนและการบริโภคในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้น
โดยแนะนำกลุ่มที่เห็นสัญญาณบวกจากส่วนแบ่งในเม็ดเงินโฆษณาที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ได้แก่ กลุ่มดิจิตอลทีวี แนะนำ BEC และกลุ่ม Out of Home แนะนำ VGI Turnaround Stock
หุ้นที่กำไรฟื้นตัวในปี 2562
นอกจากนี้เลือกหุ้นที่กำไรฟื้นตัวโดดเด่นในปี 2562 เลือก TKS ปี 2562 คาดกำไรโตเด่น 29.8% จากปีก่อน จากงานบัตรเลือกตั้งและการเพิ่มสินค้าและบริการด้านนวัตกรรม และแนวโน้มสดใส นอกจากนี้มี Upside Risk หากได้งาน E-Passport) หุ้น TWPC ปี 2562 คาดกำไรโตเด่น 146.6% จากแผน Inorganic Growth และสภาวะขาดแคลนวัตถุดิบเริ่มดีขึ้น หุ้น TVD ปี 2562 ตั้งเป้ารายได้รวม 4,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจของทีวีไดเร็ค 3,300 ล้านบาท และจาก 6 บริษัทในเครืออีก 1,500 ล้านบาท ขับเคลื่อนด้วยกลยุทธ์หลักจากการทำ Omni Channel Direct Marketing Experience โดยผสมผสานการทำตลาดผ่านทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
รวมทั้งกลุ่มโรงพยาบาล มองเป็นหุ้นกลุ่ม Defensive ที่น่าสนใจยามตลาดผันผวน จากกระแสเงินสดแข็งแกร่งไม่ผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจและธุรกิจยังสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยเราคัดกรองหุ้นจากข้อมูลของ Bloomberg Consensus ที่มี Earning Growth ปี 62 โต และยังมี Upside เลือก EKH ปี 2562 ตั้งเป้ารายได้โตหนุนด้วยการเปิดให้บริการศูนย์ผู้มีบุตรยาก (IVF) พระราม 9 สามารถให้บริการได้เต็มปีทำให้สามารถรองรับคนไข้เข้ามาใช้บริการได้เพิ่มขึ้นจาก 300 ราย/ปีจากเดิมที่ 200 ราย/ปี และเตรียมเปิดอาคารกุมารเวชแห่งใหม่ในช่วงต้นปี 2562 ซึ่งจะมีจำนวนห้องและเตียงเพิ่มขึ้นอีกจำนวน 53 เตียงจากเดิมที่มี 86 เตียง
หุ้น BCH แรงหนุนจากการปรับปรุงโรงพยาบาลในเครือ และการเพิ่มศูนย์การแพทย์ระดับตติยภูมิ พร้อมกับแนวโน้มสดใสของ WMC และ IVF หุ้น BDMS คาดกำไรปี 2562 โต จากแผนยกระดับการให้บริการที่เน้นกลุ่มโรคซับซ้อนมากขึ้น และพัฒนาการของโครงการ Wellness Clinic รวมทั้งคาดมีกำไรพิเศษจากการขายหุ้น RAM ซึ่งคาดจะบันทึกในช่วงไตรมาส 1/2562 จำนวน 4.6 ล้านนหุ้น ที่ราคา 2,800 บาท/หุ้น ซึ่งบริษัทมีแผนจะนำมาชำระหนี้เพื่อลดภาระทางการเงิน