40 ปี “JWD” โลจิสติกส์ไทยสายพันธุ์ใหม่

>>

ถ้านึกถึงบริษัทโลจิสติกส์ จะนึกถึงบริษัทอะไร? 


สำหรับนักช้อปปิ้งบนโลกออนไลน์ คงนึกถึงเคอรี่หรือไปรษณีย์ไทย ขณะที่บางคนอาจคุ้นชื่อ DHL ที่เน้นบริการนำเข้าสินค้าและขนส่งสินค้าด่วนระหว่างประเทศ


แต่ยังมีอีกหนึ่งบริษัทโลจิสติกส์ของคนไทย “บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์” หรือ “JWD” เป็นหนึ่งในบริษัทมหาชนที่อยู่ในวงการนี้มายาวนานและกำลังจะมีอายุครบ 40 ปีในปีนี้ และสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้อย่างภาคภูมิ สะท้อนจากผลงานปีที่ผ่านมาที่มีรายได้กว่า 3,200 ล้านบาท เติบโตกว่า 30% ทะลุเป้าที่วางไว้ ต้องบอกว่าเลยว่าไม่ธรรมดาจริงๆ

 

จากธุรกิจรับขนย้ายสู่โลจิสติกส์สายพันธุ์ใหม่

JWD เป็นบริษัทให้บริการโลจิสติกส์ก่อตั้งโดยกลุ่ม “บัณฑิตกฤษดา” ที่เน้นฐานกลุ่มลูกค้า B2B (Business to Business) ปัจจุบันบริหารงานโดยเจเนอเรชั่น 2 “ชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา” ที่รับตำแหน่ง CEO ที่มีสไตล์การบริหารงานแบบ “คิดไว ทำเร็ว”


จุดเริ่มต้นแจ้งเกิดของ JWD เริ่มจากธุรกิจ "รับขนย้ายเครื่องใช้ในบ้าน" ภายใต้แบรนด์ JVK เน้นจับกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในเมืองไทย จากนั้นก็ขยายธุรกิจและบริการมาอย่างต่อเนื่องทั้งในเชิงกว้างและเชิงลึก


ตั้งแต่ธุรกิจคลังสินค้า รับฝากเอกสารและข้อมูล รับฝากและจัดการยานยนต์ในพื้นที่ของ JWD และเข้าไปให้บริการภายในพื้นที่โรงงานของลูกค้า (On-site Operation) รับฝากและจัดการสินค้าอันตรายในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง ชลบุรี ซึ่ง JWD ได้รับสัมปทานรายเดียวจากการท่าเรือฯ ระยะเวลา 30 ปี (สิ้นสุดปี 2576) ธุรกิจพัฒนาระบบไอทีเกี่ยวกับโลจิสติกส์ ห้องเย็น ฯลฯ ส่งผลให้ทุกวันนี้ JWD กลายเป็นอาณาจักรโลจิสติกส์ขนาดใหญ่ที่มีความครบวงจร


หลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2558 การขยายธุรกิจของ JWD เป็นเชิงรุกโดยลงทุนคลังสินค้าและห้องเย็นในประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา สปป.ลาว และเมียนมาร์ และมีดีลร่วมทุน ถือหุ้น และควบรวมกิจการ (M&A) เกิดขึ้นอีกหลายครั้ง

ความน่าสนใจของ JWD คือโมเดลการขยายธุรกิจที่ไม่ได้หยุดแค่บริการโลจิสติกส์! แต่ขยายการลงทุนสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง โดย“เชื่อมต่อ” กับโลจิสติกส์ที่เป็นธุรกิจหลัก


อย่างการแตกไลน์เข้าสู่ธุรกิจใหม่…ฟู้ดเซอร์วิสเพื่อให้บริการด้านอาหาร ซึ่งจะเอื้อประโยชน์กับธุรกิจห้องเย็นและขนส่งสินค้า และการเปิดตัวธุรกิจ “ห้องเก็บของส่วนตัว” (Self-Storage) แห่งแรกบนพื้นที่ใจกลางเมืองบริเวณสามย่านเพื่อขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่ม B2C (Business to Customer) รับไลฟ์สไตล์คนเมืองที่มีพื้นที่อยู่อาศัยจำกัด และยกระดับ JWD เป็นบริษัทโลจิสติกส์ไทยสายพันธุ์ใหม่!!! ที่มีพอร์ตธุรกิจที่หลากหลาย

 

เตรียมปรับโครงสร้างใหม่เป็น 4 กลุ่มธุรกิจ

จากธุรกิจที่มีหลากหลาย นำมาสู่การเตรียมตัวจัดโครงสร้างธุรกิจใหม่ จากเดิมที่มี 5 กลุ่ม จะปรับใหม่เป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่

 

  • 1.กลุ่มโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นพอร์ตรายได้หลัก แบ่งเป็น B2B Integrated Logistics (บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรแก่ลูกค้า B2C) เช่น คลังสินค้าทั่วไปและปลอดภาษีอากร คลังสินค้าเคมีภัณฑ์และสินค้าอันตราย รับฝากและจัดการยานยนต์ ขนส่งสินค้าในประเทศและข้ามแดน B2B/C2C Logistics (บริการโลจิสติกส์แก่ลูกค้า B2B และ C2C) ได้แก่ ธุรกิจรับขนย้ายและห้องเก็บของส่วนตัว Logistics Infrastructure (บริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์) และ Oversea (โลจิสติกส์ในต่างประเทศ) ปัจจุบันมีการฐานธุรกิจใน สปป.ลาว เมียนมาร์ และอินโดนีเซีย

  • 2.กลุ่ม Food ปัจจุบันมีฐานธุรกิจในไทยและไต้หวัน รวมถึงมีแผนขยายในภูมิภาคอาเซียน

  • 3.ธุรกิจการลงทุน เช่น การเข้าลงทุนในกองทรัสต์ AIMIRT ส่วนในอนาคตมีแผนจัดตั้งกองทุนเพื่อเข้าลงทุนในธุรกิจที่น่าสนใจ

  • 4.ธุรกิจไอที ได้แก่ การพัฒนาระบบไอทีโซลูชั่นเกี่ยวกับโลจิสติกส์ 

เบ็ดเสร็จ JWD มีพื้นที่ให้บริการรวม ณ สิ้นปี 2561 ทะลุ 1 ล้านตารางเมตร!!!
โดยปัจจุบัน JWD ปักหมุดฐานธุรกิจแล้วใน 6 ประเทศ เริ่มจาก ไทย กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม และมีเป้าหมายขยายการลงทุนอีก 3 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซียและฟิลิปปินส์ รวมเป็น 9 ประเทศในภูมิภาคอาเซียนภายในปี 2563 เพื่อรับกับเป้าหมายสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศแตะ 25% ของรายได้รวม และวิชั่นที่จะเป็น “ผู้นำโลจิสติกส์ในภูมิภาคอาเซียน”   

 

ตั้งเป้าเติบโตต่อเนื่องทุกปี

พลิกมาดูผลงานการดำเนินงานปี 2561 ถือว่าเป็นปีที่ดีของ JWD หลังทำรายได้จากการให้เช่าและบริการ 3,208 ล้านบาท เติบโต 32.04% ทะลุเป้าหมายเดิมที่คาดจะเติบโต 10% ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 252.1 ล้านบาท


แม้ว่ากำไรสุทธิลดลงจากปี 2560 ที่ทำสถิติสูงสุด 612.1 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากมีกำไรพิเศษ 407.7 ล้านบาทจากการขายสินทรัพย์ให้แก่กองทรัสต์ AIMIRT แต่หากไม่นับรวมกำไรพิเศษ เท่ากับว่ากำไรสุทธิปี 2561 จะมีอัตราเติบโต 23.3% สะท้อนถึงศักยภาพในการนำเงินทุนที่ได้จากการขายสินทรัพย์ให้แก่กองทรัสต์ มาขยายการลงทุนเพื่อสร้างรายได้และผลกำไรได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ปัจจัยที่รายได้ปี 2561 ขยายตัว มาจากหลายๆ ธุรกิจที่มีอัตราเติบโตอย่างโดดเด่น โดยเฉพาะ “ห้องเย็น” ที่เคยได้รับผลกระทบจากปัญหาใบเหลือง IUU มีรายได้ในปีที่ผ่านมา 604 ล้านบาท เติบโต 34.4% โดยมีอัตราการเช่าพื้นที่ ณ สิ้นปี 2561 อยู่ที่ 84.1% ธุรกิจขนส่งสินค้า มีรายได้ 497.1 ล้านบาท เติบโต 31%  ธุรกิจบริหารจัดการสินค้าอันตราย มีรายได้ 497.3 ล้านบาท เติบโต 7.5% นอกจากนี้ SG&A (อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้) ลดลงเหลือ 17.7% จากปี 2560 อยู่ที่ 20.3%

ส่วนปี 2562 JWD ตั้งเป้ารายได้เติบโต 15 -20% และผลกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเติบโตจะมาจากธุรกิจเดิมที่ดำเนินการอยู่แล้ว เช่น ธุรกิจคลังสินค้าทั่วไปที่คาดว่าจะมีอัตราการเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้นและส่งผลดีต่ออัตรากำไรขั้นต้นขณะเดียวกันจะรับรู้ผลการดำเนินงานและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทที่เข้าลงทุน


โดยจะเป็นปีแรกที่ JWD เริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรในบริษัท TRANSIMEX CORPORATION ประเทศเวียดนาม หลังบอร์ดบริษัทฯ อนุมัติเข้าลงทุนถือหุ้น 23.66% ส่วนธุรกิจฟู้ดเซอร์วิสในไต้หวันที่เข้าลงทุนเมื่อปี 2561 ก็คาดว่าจะเติบโตได้ดี หลังจากได้งานใหม่เพิ่มขึ้นจากร้านฟาส์ตฟู้ดและร้านสะดวกซื้อแบรนด์ดังในไต้หวัน รวมถึงธุรกิจ Self-Storage ที่มีแผนเปิดตัวบริการใหม่เพื่อขยายฐานลูกค้า

 

บล.ทิสโก้ ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายหุ้น JWD

ล่าสุด บล.ทิสโก้ มีมุมมองเชิงบวกจากบทวิเคราะห์หุ้น JWD โดยปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเพื่อสะท้อนการลงทุนในประเทศเวียดนาม พร้อมให้คำแนะนำ ซื้อ และให้ราคาเป้าหมายช่วง 12 เดือนข้างหน้าที่ 11.80 บาท ส่วนราคาหุ้นที่ปรับลดลงแรงเมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา ถือเป็นโอกาสเข้าซื้อหุ้นเพิ่มเติมเนื่องจากพื้นฐานธุรกิจยังไม่เปลี่ยนแปลง


บล.ทิสโก้ ยังไม่มีการปรับคาดการณ์รายได้ JWD ในปี 2562 – 2563 เช่นเดียวกับอัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าไม่เปลี่ยนแปลง อยู่ที่ระดับ 28.7% และ 28.9% ตามลำดับ รวมถึง SG&A (ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย) อยู่ที่ 17.9% และ 18% ตามลำดับ


อย่างไรก็ตามคาดว่าการเข้าลงทุนถือหุ้น 23.66% ใน TRANSIMEX CORPORATION ที่เวียดนาม จะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งผลกำไรจากการลงทุนที่ดีขึ้น จึงปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรในปี 2562 – 2563 อีก 12% และ 15% ตามลำดับ  นอกจากนี้ได้คาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการปี 2562 อยู่ที่ 4,208 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิประมาณ 444 ล้านบาท  เทียบกับปี 2561 ที่มีรายได้ 3,208 และกำไรสุทธิ 252 ล้านบาท


ที่มา บทวิเคราะห์หุ้น JWD บล.ทิสโก้