นักลงทุนกังวลห่วงเสถียรภาพ

>>

หุ้นไทยรอผลการเลือกตั้งร่วงกว่า 20 จุด "ภากร" ยันลด ตามตลาดหุ้นโลก ด้านเอกชนขออย่า เกียร์ว่างช่วงรอจัดตั้งรัฐบาลใหม่

ตลาดหุ้นไทยเปิดทำการวันแรกหลังจากรัฐบาลจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป โดยดัชนีหุ้นวันที่ 25 มี.ค. ปิดตลาดที่ 1,625.91 จุด ลดลง 20.38 จุด หรือ 1.24% แต่ระหว่างวันดัชนีลดลงไปกว่า 28.21 จุด มูลค่าซื้อขาย 4.7 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ดี นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า การลดลงของหุ้นไทยเป็นไปตามภาวะตลาดหุ้นโลกที่ปรับตัวลดลงจากความกังวลของการขยายตัวเศรษฐกิจโลก ส่วนตลาดหุ้นไทยยังถือว่าแข็งแกร่ง บริษัทจดทะเบียนไทยยังมีศักยภาพในการเติบโต

"ถึงจะรอการจัดตั้งรัฐบาล ใครจะมาก็ไม่มีปัญหากับเศรษฐกิจ เพราะทุกพรรคการเมืองต่างมีนโยบายสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งสิ้น ที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศจับตาดู" นายภากร กล่าว

นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนอยากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังการเลือกตั้งใน 2 ส่วน คือ ตั้งแต่หลังการเลือกตั้งไปจนถึงการจัดตั้งรัฐบาล อยากให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไป ไม่ให้เกิดเกียร์ว่าง เพราะช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่สำคัญที่นักลงทุนและนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในไทยจับตาดู อีกส่วนคือ หลังการจัดตั้งรัฐบาล มี ครม.ชุดใหม่ นโยบายดีที่มีมาก่อนก็ขอให้ทำอย่างต่อเนื่อง ส่วนนโยบายใหม่ต้องเรียงลำดับความสำคัญอะไรทำก่อนอะไรทำหลัง

"สำหรับความไม่พอใจกับผลการเลือกตั้งจนอาจถึงขั้นบานปลายจนเกิดการชุมนุมและความวุ่นวายนั้น เห็นว่าขณะนี้ก็เป็นไปตามขั้นตอนที่ กกต.กำหนดไว้ สถานการณ์ยังเรียบร้อย จากนี้ก็ต้องจับตาดูว่าพรรคการเมืองจะทำ ตามนโยบายที่หาเสียงไว้หรือไม่ ประชาชนจะเป็นผู้ตรวจสอบ" นายกลินท์ กล่าว

นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า นักลงทุนยังคงติดตามการประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการอยู่ว่าใครเป็นเสียงข้างมากที่ได้จัดตั้งรัฐบาล แต่เรื่องสำคัญที่สุดคือ จำนวน สส.ของพรรค ร่วมรัฐบาลจะออกมาเป็นอย่างไร หากเกิน 250 เสียงเล็กน้อย ก็ยังสร้างความกังวลว่าจะบริหารประเทศ ขับเคลื่อนนโยบาย ทำให้เกิดความมั่นคงทางการเมืองได้ มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งออก เนื่องจากมีความเสี่ยงเศรษฐกิจจะเติบโตได้ต่ำกว่า 4%