Hightlight
- บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดการณ์แนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วง 2Q62 แกว่ง sideway up ในกรอบแนวรับ 1,580-1,600 จุด และกรอบแนวต้าน 1,700-1,730 จุด
- จากอานิสงส์เชิงบวกจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวไทย รวมถึงการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการบริโภคในประเทศ
- ขณะเดียวกันรอความชัดเจนของการเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง ว่าท้ายที่สุดจะเห็นเสถียรภาพเพิ่มเติมหรือไม่ ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นต่อการลงทุนของทั้งนักลงทุนไทยและต่างชาติกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) คาดการณ์แนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วง 2Q62 แกว่ง sideway up ในกรอบแนวรับ 1,580-1,600 จุด และกรอบแนวต้าน 1,700-1,730 จุด รับอานิสงส์เชิงบวกจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวไทย รวมถึงการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการบริโภคในประเทศ บ่งชี้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ในช่วงถัดไป โดยประเมิน GDP ไทยปีนี้เติบโตที่ระดับ 3.8% นอกจากนี้คาดยังได้แรงหนุนเชิงบวกจากปัจจัยภายนอกที่ผ่อนคลายมากขึ้น นำโดยประเด็นสงครามการค้า (Trade war) ที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ปัจจุบันมีสัญญาณบวกจากการพยายามเจรจากันระหว่างสหรัฐฯ และจีน และมีความคาดหวังต่อการบรรลุข้อตกลงได้ในระยะถัดไป ดังนั้นจึงประเมินประเด็นสงครามการค้า ณ ปัจจุบันจะไม่เลวร้ายไปกว่าช่วงที่ผ่านมาแล้ว คาดจะช่วยปลดล็อคความกังวลต่อภาพเศรษฐกิจโลกชะลอตัวให้กลับมาขยายตัวเพิ่มมากขึ้น
อีกทั้งยังคาดตลาดสินทรัพย์เสี่ยงจะได้แรงหนุนเพิ่มเติมจาก นโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลกเช่น FED และ ECB ที่ผ่อนคลายมากขึ้น สอดคล้องกับการประชุม FOMC ครั้งล่าสุด ที่สะท้อนมุมมองของคณะกรรมการ FED สาขาต่างๆ ว่าดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ในปีนี้มีแนวโน้มจะคงที่ในระดับเดิม หรืออาจจะมีโอกาสปรับลดลงด้วย หากเศรษฐกิจสหรัฐฯยังไม่เร่งตัวขึ้นตามคาด ถือเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญต่อการลงทุนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในกลุ่มกำลังพัฒนา (Emerging Market) มากขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงมีอะไรบ้าง?
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาคือ ความชัดเจนต่อการแยกตัวของสหราชอาณาจักรจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยสิ่งสำคัญคือ หากสหราชอาณาจักร แยกตัวแบบไร้ข้อตกลง อาจส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจทั้งของสหราชอาณาจักร และกลุ่มสหภาพยุโรปในช่วงถัดไปได้ นอกจากนี้สำหรับปัจจัยในประเทศแนะรอความชัดเจนของการเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง ว่าท้ายที่สุดจะเห็นเสถียรภาพเพิ่มเติมหรือไม่ ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นต่อการลงทุนของทั้งนักลงทุนไทยและต่างชาติกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง
เข้าสู่ไตรมาส 2 ลงทุนอย่างไรดี?
1) กลุ่มที่ตอบรับปัจจัยร้ายๆในช่วงก่อนหน้าไปมากแล้ว ขณะที่ Valuation เริ่มเข้าสู่ระดับที่น่าสนใจ
- กลุ่มพลังงาน: รับสถานการณ์สงครามการค้าที่ผ่อนคลาย แนะนำ PTTEP ราคาเป้าหมาย 150 บาท
- กลุ่มโรงกลั่น: ค่าการกลั่นผ่านจุดต่ำสุดในช่วงเดือน มกราคม ไปแล้ว และไตรมาส 2 คาดได้แรงหนุนจากอุปสงค์มากขึ้นจากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาล ผสานอุปทานลดลงจากโรงกลั่นทั่วโลกหยุดซ่อมบำรุงมากสุดในรอบปี แนะนำ BCP ราคาเป้าหมาย 39 บาท
- กลุ่มการแพทย์: ราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาตอบรับความกังวลต่อการควบคุมค่ารักษาพยาบาลไปมากแล้ว ขณะที่ Valuation อยู่ในระดับที่น่าลงทุน แนะนำ BCH ราคาเป้าหมาย 20 บาท
2) กลุ่มที่คาดได้อานิสงส์เชิงบวกหลังการเลือกตั้ง และแนวโน้มอัตราการทำกำไรดีขึ้น
- กลุ่มค้าปลีก: คาดการบริโภคไทยเร่งตัวขึ้นสอดคล้องกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ แนะนำ BJC ราคาเป้าหมาย 65 บาท และ CPALL ราคาเป้าหมาย 86 บาท
- กลุ่มท่องเที่ยว: จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาฟื้นเด่นตั้งแต่ต้นปี โดยประเมินปีนี้นักท่องเที่ยวมีโอกาสทะลุ 40 ล้านคน แนะนำ SPA ราคาเป้าหมาย 15.8 บาท