การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนยังคงทรงตัวในไตรมาสล่าสุด แม้จะต้องเผชิญกับสงครามและมาตรการตอบโต้ทางภาษีจากสหรัฐ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความพยายามของรัฐบาลในการยับยั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจ อาจกำลังได้ผล
จากรายงานของรัฐบาลจีนระบุว่า เศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกขยายตัว 6.4% ในไตรมาสแรกเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเท่ากับไตรมาสก่อนหน้า อันเป็นอัตราการเติบโตที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่ปี 2552 แต่แสดงว่าจีนอาจกำลังมาถูกทางแล้วกับการรับมือมาตรการตอบโต้ต่างๆ ของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ
สำนักสถิติแห่งชาติรายงาน การใช้จ่ายผู้บริโภค ภาคการผลิต และการลงทุน ปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือนมีนาคมจากเดือนก่อนหน้า และระบุว่าเศรษฐกิจแสดงปัจจัยบวกเพิ่มมากขึ้น
จีนเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐในปีที่แล้ว และสั่งให้ธนาคารปล่อยเงินกู้มากขึ้น หลังจากความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจอ่อนแอลง ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะว่างงาน อันจะเป็นอันตรายต่อเสถียรภาพทางการเมืองอีกต่อหนึ่ง ซึ่งแม้ว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนจะสวนทางกับความพยายามลดการพึ่งพาหนี้สินและการลงทุนเพื่อรองรับการเติบโต แต่ก็ต้องระงับเป้าหมายนั้นไว้ชั่วคราว เพื่อพยุงตัวเองในช่วงสงครามการค้ากับสหรัฐ
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าการเติบโตของจีนจะผ่านจุดต่ำสุดและเริ่มฟื้นตัวในปลายปีนี้ ก่อนหน้านี้นักเคราะห์คาดว่าจะฟื้นตัวในปีที่แล้ว แต่ต้องปรับการคาดการณ์หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปรับขึ้นอัตราภาษีการนำเข้าจากจีน อ้างว่าจีนหวังที่จะใช้เทคโนโลยีครอบงำประเทศอื่น
การต่อสู้ระหว่างสองประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก 2 ประเทศ ส่งผลกระทบต่อการค้าโลก และสินค้าหลายประเภทตั้งแต่ถั่วเหลืองจนถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินโลกอีกทอดหนึ่ง แม้รัฐบาลทั้งสองประเทศพยายามสร้างความมั่นใจกับชาวโลกว่า การเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาทกำลังคืบหน้า แต่ก็ยังมีการใช้มาตรการต่างๆ เพื่อกีดกันสินค้ามูลค่าหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ
ด้วยเหตุนี้ นายกรัฐมนตรี หลี่เค่อเฉียงจึงประกาศว่า เป้าหมายการเติบโตอย่างเป็นทางการที่ 6 - 6.5% ในเดือนมีนาคมลดลงจากอัตรา 6.6% ในปีที่แล้ว หลี่ยังเตือนว่า เศรษฐกิจโลกจะพบกับความยากลำบากมากขึ้น และกล่าวว่ารัฐบาลวางแผนที่จะเพิ่มการใช้จ่ายในปีนี้เพื่อเร่งการเติบโต
ผู้นำจีนเตือนก่อนหน้านี้ว่ารูปแบบของกราฟการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะเป็น "รูปตัว L" หมายความว่าชะลอตัวจะสิ้นสุดลงแต่การเติบโตจะอยู่ในระดับต่ำ
นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า แม้ว่าสหรัฐกับจีนจะตกลงกันได้ในประเด็นการค้าในอีกไม่กี่สัปดาห์หรือหลายเดือนข้างหน้า แต่ไม่น่าจะแก้ปัญหาความไม่ลงรอยระหว่างกันได้
เจมี่ ธอมป์สัน จากบริษัท Capital Economics กล่าวกับ AP ว่า แม้สหรัฐกับจีนจะยุติสงครามการค้าได้ แต่จากประสบการณ์ประเทศอื่นๆ ที่พบกับประหาเดียวกัน แสดงให้เห็นว่ามันอาจจะใช้เวลา 4-5 ปี ที่จะหลุดพ้นจากผลกระทบของมาตรการลงโทษทางภาษีที่ทั้ง 2 ประเทศกำลังตอบโต้กันอยู่