เจาะหุ้น AOT เพราะชีวิตคือการเดินทาง

>>

เวลาที่เราดูภาพยนตร์หรือซีรีส์ก็ดี ใครรู้สึกเหมือนกันว่าฉากระหว่างการเดินทางหรือในสนามบิน เป็นฉากสำคัญที่สร้างความประทับใจได้เป็นอย่างดี ก็เพราะด้วยเสน่ห์ของมันนั่นเอง


อย่างภาพยนตร์ดังเรื่อง The Terminal ผลงานการกำกับของสตีเว่น สปีลเบิร์ก และนำแสดงโดยทอม แฮงคส์ ถ่ายทอดเรื่องราวการใช้ชีวิตอยู่ในอาคารผู้โดยสาร แรงบันดาลใจจากชีวิตจริงของชายชาวอิหร่านที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในเลาจน์ของสนามบินชาร์ล เดอ โกล ฝรั่งเศส นานถึง 18 ปี จากเหตุผลการโดนเนรเทศออกจากประเทศ มิหนำซ้ำยังทำเอกสารการเดินทางหายอีก! ทำให้เดินทางต่อไม่ได้ และยิ่งในยุคที่ สายการบินราคาประหยัดเฟื่องฟู สนามบินเลยยิ่งใกล้ตัวเรามากขึ้น


วันนี้ Wealthy Thai เลยอยากพามาทำความรู้จักกับหุ้นสนามบิน “Airport of Thailand” ว่าเติบโตแค่ไหน มีเรื่องราวอะไรบ้าง


สำหรับสนามบินในบ้านเรา ส่วนใหญ่ดำเนินการโดยบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ชื่อย่อ “ทอท.” และเทรดอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในชื่อหุ้นว่า “AOT”  โดยสถานะของบริษัทถือว่าเป็นรัฐวิสาหกิจ มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 70% หรือจำนวน 10,000 ล้านหุ้น


ณ วันที่ 26 เมษายน 2562 บริษัทมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแค็ป) อยู่ที่ 9.17 แสนล้านบาท ขึ้นมาจากเดือนพฤศจิกายน 2561 ที่มีมาร์เก็ตแค็ปประมาณ 9.15 แสนล้านบาท และถ้าดูข้อมูลการจัดอันดับมาร์เก็ตแค็ปของหุ้นขนาดใหญ่ที่สุดของตลาดหุ้นไทย ในช่วง 10 ปี (2552-2562) จะพบว่ามาร์เก็ตแค็ป AOT กระโดดขึ้นมาน่าสนใจ จากที่ไม่ติดอันดับท็อป 10 เลยในปี 2552 ค่อยๆ ขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับ 10 ในปี 2556

 

 

หลังจากนั้นภายใน 2 ปี ขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 3 และล่าสุดในปี 2561-2562 อยู่อันดับ 2 รองจากปตท.เท่านั้น โดยข้อมูลจาก PIER Statistics ของแบงก์ชาติระบุว่าเมื่อ 10 ปีก่อน บริษัทที่มีมูลค่าสูงมักอยู่ในอุตสาหกรรมพลังงานและสาธารณูปโภค เทคโนโลยีสารสนเทศฯ และธนาคาร แต่ปัจจุบันมีความหลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์ พาณิชย์และการแพทย์


สำหรับในตลาดหุ้นไทย แม้มูลค่าบริษัท AOT จะโตเร็วแล้ว รู้หรือไม่ว่า AOT เป็นหุ้นสนามบินที่มีมาร์เก็ตแค็ปมากที่สุดในโลกด้วย   

 

Life is a journey, AOT Stock is a journey too.

 

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าถ้าเราดูราคาหุ้นย้อนหลัง 8 ปี หลายๆ คน อาจจะตกใจยิ่งกว่า เพราะในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2554 ราคาหุ้น AOT อยู่ที่ราคา 3.38 บาท ก่อนจะทะยานขึ้นไปทำสถิติสูงที่สุด หรือ All Time high ที่ราคา 77.75 บาท ในเดือนมกราคม 2561 ภายใน 7 ปี ราคาขยับจาก 3 บาทกว่าๆ มาเกือบ 78 บาทเลยทีเดียว ไม่ต้องนึกถึงกำไรกันเลย!


ซึ่งแน่นอนว่าราคาหุ้นวิ่งไปขนาดนี้ AOT ก็เป็นหุ้นฮอตอีกหนึ่งตัวที่แตกพาร์แล้ว จาก 10 บาท เหลือ 1 บาท เพื่อให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถือหุ้นได้มากขึ้น และตามทฤษฎีแม้ว่าราคาหุ้นจะร่วงหลังแตกพาร์ แต่ราคาหุ้น AOT ที่โชว์สถิติตลอดช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ก็สะท้อนให้เห็นแล้วว่าหุ้นวิ่งขึ้นเรื่อยๆ

 

แล้วเพราะอะไรบ้าง?
ที่ทำให้ราคาหุ้น AOT ยังไปได้ต่อ

 

อันดับแรก การเติบโตของภาคท่องเที่ยว โดยข้อมูลจาก World Economic Forum ระบุว่าไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสัดส่วนรายได้การท่องเที่ยวต่อจีดีพีในระดับสูง หรือมากกว่า 7% สอดคล้องกับการรองรับผู้โดยสารสนามบินสุวรรณภูมิ 60.86 ล้านคนต่อปี เพิ่มขึ้นจาก 3 ปีที่แล้ว ที่มีผู้โดยสาร 30 ล้านคนต่อปี 


ซึ่งตามแผนทอท. จะเพิ่มขีดความสามารถการรองรับผู้โดยสารเพิ่มเป็น 120 ล้านคนต่อปี หรือเพิ่มอีกเท่าตัวในปี 2578 หรือในอีก 16 ปีข้างหน้า โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการเฟสที่ 3 คือการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ช่วงปี 2562-2564


หลังจากนั้นจะดำเนินการเฟสที่ 4 ตามแผนดำเนินการปี 2563-2569 ที่จะรองรับปริมาณผู้โดยสารได้ถึงปี 2573 โดยรองรับผู้โดยสารได้ไม่น้อยกว่า 105 ล้านคนต่อปี และเฟสที่ 5 ตามแผนดำเนินการ 2568-2573 รองรับปริมาณผู้โดยสารถึงปี 2578 อีกไม่น้อยกว่า 120 ล้านคน

นี่ยังไม่นับการขยายตัวของสนามบินดอนเมืองที่มีแผนขยายอาคารใหม่ ตลอดจนสนามบินหลักในความรับผิดชอบของ AOT และส่วนที่รับดำเนินการจากกรมท่าอากาศยาน รวมทั้งหมดมีสนามบินอีก 10 แห่ง ที่จะอยู่ในการปั้นดาวรุ่ง (สนามบิน) หรืออย่างสนามบินเอกชนที่เปิดสัมปทานให้บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือสายการบินบางกอกแอร์เวยส์ดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นสนามบินสมุย สนามบินสุโขทัยก็ดี

 

ยังมีรูมที่จะโตได้อีกเยอะ!

 

ทั้งนี้แม้ว่า AOT จะโตได้แบบไม่มีขีดจำกัด ทั้งรายได้จากไฟลท์บิน หรือบริการให้เช่าพื้นที่ร้านค้าปลอดภาษี แต่มีความเสี่ยงในด้านการแข่งขันด้านคมนาคมในอนาคต ทั้งรถไฟทางคู่ หรือรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) เพราะคนไม่ต้องมาเตรียมตัวรอเช็คอิน ไม่ต้องจองตั๋วล่วงหน้า ไม่ต้องจ่ายแพง


แม้แต่ในอดีตก็มีบทเรียนให้เห็นแล้ว อย่าง “ม็อบปิดสนามบิน” ที่ทำให้รายได้ตกฮวบลงไป

มุมมองของนักวิเคราะห์ 

 

  • บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง  ให้ราคาเป้าหมาย 75.00 บาทต่อหุ้น
  • บล.ฟิลลิป                ให้ราคาเป้าหมาย 72.50 บาทต่อหุ้น
  • บล.เคจีไอ                ให้ราคาเป้าหมาย 82.12 บาทต่อหุ้น  


บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง มองว่านอกจากแนวโน้มกำไรที่ยังคงแข็งแกร่งแล้ว AOT มีประเด็นบวกที่ปลดล็อคความกังวลแล้วคือ การประมูลพื้นที่พาณิชย์ได้กลับมาดำเนินต่อไปแล้ว โดยได้เริ่มมีการขายซองประมูลและกำหนดยื่นซองในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งคาดว่าจะทำให้ sentiment การลงทุนกลับมาค่อยๆ ดีขึ้น จึงแนะนำซื้อ โดยให้ราคาเป้าหมาย 75.00 บาทต่อหุ้น

 

บล.ฟิลลิป ประเมินว่า กำไรไตรมาส 2/2562 จะเติบโตขึ้นประมาณ 5% หรือมีกำไร 7,634 ล้านบาท ตามผู้ใช้บริการต่างชาติที่เพิ่มขึ้น 5.3%  จากมาตรการยกเว้นค่าวีซ่าและเที่ยวบิน ดันรายได้รวมโต 4.7% เป็น 17,089 ล้านบาท จากกิจการการบิน 3.8% และไม่ใช่กิจการการบิน +5.9% ต้นทุนและ SG&A เพิ่มขึ้น 3.3% และ 8.1% ตามลำดับ จากค่าซ่อมแซมและผลประโยชน์พนักงานที่เพิ่มขึ้น

 

อย่างไรก็ตามมีประเด็นเศรษฐกิจจีนชะลอตัวและเงินบาทแข็งค่าขึ้น เป็นอีกแรงกดดัน คงต้องตามดูมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยเรื่องการท่องเที่ยวในประเทศที่จะให้นำค่าใช้จ่ายมาลดหย่อนภาษี จึงแนะนำทยอยซื้อ ให้ราคาเป้าหมาย 72.50 บาท


บล.เคจีไอ มองคล้ายกันว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2/2562 จะแข็งแกร่งขึ้น แต่มองกำไรเพิ่มขึ้นมากกว่าเมื่อเทียบกับฟิลลิป โดยประเมินว่ากำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้น 6.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว กำไรสุทธิอยู่ที่ 7,770 ล้านบาท คิดเป็น 28.2% ของประมาณการกำไรปีนี้ จากแรงหนุนฤดูท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฟื้นตัวขึ้น โดยในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคมที่ผ่านมา จำนวนผู้โดยสารเที่ยวบินระหว่างประเทศของ AOT เพิ่มขึ้น จึงคาดว่ารายได้ของ AOT ไตรมาส 2/2562 จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.73 หมื่นล้านบาท


สำหรับการประมูลดิวตี้ฟรี ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ จะมีผู้ประกอบการเพียงรายเดียวที่ได้สัมปทานในรอบใหม่นี้ ซึ่งคาดว่าจะทำให้ AOT ได้ผลตอบแทนดีกว่าการซอยสัมปทานเป็นหลายสัญญา โดยประเมินอัตราส่วนแบ่งรายได้ที่สูงขึ้น จาก 15% เป็น 20% หลังจากที่มีการเปิดประมูลพื้นที่เชิงพาณิชย์ของสนามบินสุวรรณภูมิรอบใหม่ บวกกับในระยะยาวเชื่อว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราค่าธรรมเนียมผู้โดยสารด้วย อย่างในปัจจุบันสนามบินชางงี สิงคโปร์อยู่ที่ 845 บาท สูงกว่าของ AOT อยู่ 20% จึงยังแนะนำซื้อ และให้ราคาเป้าหมาย 82.12 บาทต่อหุ้น

 

ก็เพราะ “การเดินทาง” มันมีเสน่ห์ของมัน คงไม่มีใครที่เลือกจะนั่งรถไฟไปตลอด นั่งรถทัวร์ตลอด หรือนั่งเครื่องบินไปตลอด เพราะเสน่ห์อาจจะอยู่ที่...เรื่องราวระหว่างทางก็ได้








ที่มา

รายงานประจำปี 2561 ของทอท. 

บทวิเคราะห์หุ้น AOT ของเมย์แบงก์ฯ ฟิลลิปและเคจีไอ 

http://www.soccersuck.com

http://www.fintech.co.th