ศูนย์วิจัยกสิกร เผยตู้ ATM เติบโตติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 35 ปี

>>

Highlight

  • จำนวนตู้เอทีเอ็มมีอัตราการเติบโตติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 35 ปี
  • ปี 2561 จำนวนตู้เอทีเอ็มและเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคารพาณิชย์ มีจำนวน 57,554 เครื่อง หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต -0.98%
  • สะท้อนว่าบทบาทของตู้เอทีเอ็มที่มีต่อธนาคารพาณิชย์ เริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากในอดีตที่ตู้เอทีเอ็มนับเป็นช่องทางที่สำคัญช่องทางหนึ่งในการสร้างรายได้ค่าธรรมเนียม 

 

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยแพร่บทความเรื่อง “บทบาทของเอทีเอ็มท่ามกลางการเข้าสู่สังคมไร้เงินสด บริบทที่ธนาคารพาณิชย์ต้องคำนึงหลายประการ” โดยระบุว่า ปี 2561 ที่ผ่านมา เครื่องกดเงินสดอัตโนมัติหรือตู้เอทีเอ็มของธนาคารพาณิชย์ เริ่มมีจำนวนลดลง แม้ว่าตู้เอทีเอ็มจะเป็นสัญลักษณ์และตัวแทนที่สำคัญของธนาคาร เพื่ออำนวยความสะดวกนอกเวลาทำการให้แก่ลูกค้า ในเรื่องของการเบิกถอนเงินสด รวมทั้งการทำธุรกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง



ทั้งนี้การลดลงของจำนวนตู้เอทีเอ็ม ส่วนหนึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากนโยบายการลดจำนวนสาขาของธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ รวมทั้งความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันการเข้าสู่สังคมไร้เงินสด ซึ่งส่งผลให้พฤติกรรมการชำระเงินของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปสู่รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น และอาจทำให้การลงทุนติดตั้งตู้เอทีเอ็มในพื้นที่ใหม่ของธนาคารมีประเด็นด้านความคุ้มค่า

 

เมื่อพิจารณาในรายละเอียด ศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้

 

จำนวนตู้เอทีเอ็มมีอัตราการเติบโตติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 35 ปี โดยในปี 2561 จำนวนตู้เอทีเอ็มและเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคารพาณิชย์ มีจำนวน 57,554 เครื่อง หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต -0.98%YoY สะท้อนว่าบทบาทของตู้เอทีเอ็มที่มีต่อธนาคารพาณิชย์ เริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากในอดีตที่ตู้เอทีเอ็มนับเป็นช่องทางที่สำคัญช่องทางหนึ่งในการสร้างรายได้ค่าธรรมเนียม

 

ในปัจจุบันธนาคารแต่ละแห่ง แข่งขันกันพัฒนาโมบายแอปพลิเคชั่นเพื่อการเข้าถึงลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณการทำธุรกรรมต่าง ๆ ที่ปรากฏบนช่องทางดิจิทัลเพิ่มขี้นอย่างก้าวกระโดด และกระทบต่อสัดส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารจากการใช้ตู้เอทีเอ็มให้มีสัดส่วนที่เล็กลง ขณะที่ปริมาณการถอนเงินสดผ่านตู้เอทีเอ็มในช่วง 9 เดือนแรกของ ปี 2561 ลดลงจากสิ้นปี 2560 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการใช้เงินสดของผู้บริโภค ที่มีแนวโน้มลดลงในอนาคต

 

ความคุ้มทุนในธุรกิจเอทีเอ็มของธนาคารพาณิชย์ถูกท้าทาย จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่เข้าแทรกแซงอุตสาหกรรมทุกประเภท รวมทั้งอุตสาหกรรมการเงิน ที่ทำให้ผู้บริโภคนิยมทำธุรกรรมทางการเงิน ผ่านช่องทางดิจิทัล เพิ่มขึ้น ทั้งโมบายแอพพลิเคชั่นและอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง ประกอบกับแรงจูงใจทางด้านต้นทุนที่ทำให้ผู้ให้บริการหันมารุกช่องทางดิจิทัลเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนการให้บริการทางการเงินผ่านตู้เอทีเอ็มสูงกว่าการให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลถึง 30 เท่า ทั้งนี้บริบทความคุ้มทุนของธุรกิจเอทีเอ็ม ไม่ได้จำกัดอยู่แต่เพียงประเด็นด้านรายได้หรือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงประเด็นอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ตัวเงินด้วย

 

ซึ่งหากพิจารณาวัฏจักรความคุ้มทุนของธุรกิจเอทีเอ็ม ที่คำนวณจากสัดส่วนปริมาณธุรกรรมบนตู้เอทีเอ็มต่อจำนวนตู้เอทีเอ็มของธนาคารพาณิชย์ อาจจำแนกออกเป็น 4 ช่วง ดังนี้

 

       1.ช่วงเริ่มลงทุน เป็นระยะแรกของการติดตั้งตู้เอทีเอ็ม โดยในระยะนี้การมีอยู่ของตู้เอทีเอ็มเป็นไปเพื่อการประชาสัมพันธ์ของธนาคาร ทำให้ธนาคารมีต้นทุนในธุรกิจเอทีเอ็มที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากปริมาณการทำธุรกรรมผ่านตู้เอทีเอ็ม ยังค่อนข้างน้อย

 

       2.ช่วงคุ้มทุน เป็นช่วงที่ตู้เอทีเอ็มเป็นที่รู้จักและคุ้นเคยแก่ผู้บริโภคแล้ว ส่งผลให้การทำธุรกรรมผ่านตู้เอทีเอ็ม มีปริมาณเพิ่มขึ้นจนเกิดความคุ้มค่าทั้งในเชิงตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงิน

 

       3.ช่วงที่เริ่มเกิดความไม่คุ้มทุน เนื่องจากตู้เอทีเอ็มที่ให้บริการในบางจุดเริ่มถูกแทนที่ด้วยโมบายแบงก์กิ้ง ก่อให้เกิดความซ้ำซ้อนของตู้เอทีเอ็มในบางพื้นที่มากเกินกว่าความต้องการใช้งาน ขณะที่ในบางจุดให้บริการยังคงมีปริมาณการทำธุรกรรมผ่านตู้เอทีเอ็มที่หนาแน่น ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า บริบทความคุ้มทุนของธุรกิจเอทีเอ็มเริ่มลดลงตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา สังเกตได้จากปริมาณธุรกรรมต่อจำนวนตู้ที่เริ่มปรับตัวลดลง ส่งสัญญาณถึงทิศทางความคุ้มทุนในเชิงตัวเงินที่เริ่มลดลงตาม

 

      4.ช่วงไม่คุ้มทุน จากแนวโน้มความต้องการใช้เงินสดของประชากรที่ลดลง และอาจลดลงสู่ระดับที่ต่ำมากในอนาคต อาจส่งผลต่อจุดให้บริการตู้เอทีเอ็มที่ไม่คุ้มทุนให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในระยะข้างหน้า ซึ่งหากตู้เอทีเอ็มที่เกิดความไม่คุ้มทุน คิดเป็นสัดส่วนใหญ่เมื่อเทียบกับจำนวนตู้เอทีเอ็มของสถาบันการเงินทั้งระบบ อาจส่งผลกระทบต่อรูปแบบการดำเนินธุรกิจเอทีเอ็มในอนาคตให้เปลี่ยนแปลงไปจากรูปแบบเดิมในปัจจุบัน

 

จากความท้าทายที่ธนาคารพาณิชย์ต้องเผชิญท่ามกลางการเข้าสู่สังคมไร้เงินสดในปัจจุบัน ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ต้องทบทวนบทบาทการลงทุนในธุรกิจเอทีเอ็มในอนาคต ที่อาจก่อให้เกิดความไม่คุ้มค่าจากการ ลงทุนโดยต้องประเมินสถานการณ์ด้วยความระมัดระวังรอบด้าน

 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารูปแบบการดำเนินธุรกิจเอทีเอ็มยังเป็นประเด็นติดตาม แต่แนวโน้มการทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่วยสนับสนุนภาพการลดต้นทุนการดำเนินงานของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ได้ รวมทั้งยังช่วยลดต้นทุนภาพรวมต่อเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากความต้องการใช้เงินสดที่ลดลงช่วยให้ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการใช้เงินสด อาทิ การผลิตธนบัตร การขนส่งธนบัตร ปริมาณเงินที่ต้องสำรองไว้ในตู้เอทีเอ็ม เพื่อการเบิกถอนให้มีจำนวนลดลงด้วย ซึ่งช่วยสนับสนุนให้เกิดการใช้ทรัพยากรร่วมกันของระบบสถาบันการเงินในระยะต่อไป