Hightlight
- ทีมผู้บริหารของบริษัทฯ เตรียมเดินทางไปร่วมงาน dbAccess Asia Conference ที่ประเทศสิงคโปร์ ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2562 จัดโดย Deutsche Bank โดยมีกองทุนเข้าร่วมประมาณ 20 กองทุน
- พร้อมอัพเดทข้อมูลให้นักลงทุนสถาบันและกองทุนชั้นนำได้เห็นพัฒนาการของบริษัท
- ในปีนี้ รายได้และกำไรจะเติบโตกว่า 35% จากยอดปล่อยกู้ที่เพิ่มสูงขึ้นตามการขยายตัวของสาขา ที่คาดว่าปีนี้จะเพิ่มเป็น 3,900 สาขา ก่อนขยับเป็น 4,500 สาขา ในปี 2563
นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC เปิดเผยว่า ทีมผู้บริหารของบริษัทฯ เตรียมเดินทางไปร่วมงาน dbAccess Asia Conference ที่ประเทศสิงคโปร์ ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2562 จัดโดย Deutsche Bank โดยมีกองทุนเข้าร่วมประมาณ 20 กองทุน และหลังจากนั้นเตรียมบินตรงไปร่วมงาน Thanachart Securities - Daiwa Thai Corporate Day ที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2562 จัดโดยบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต ร่วมกับ Daiwa Asset Management โดยมีกองทุนเข้าร่วมประมาณ 10 กองทุน
“การไปร่วมงานโรดโชว์ที่ประเทศสิงคโปร์และญี่ปุ่น ในครั้งนี้ MTC พร้อมอัพเดทข้อมูลให้นักลงทุนสถาบันและกองทุนชั้นนำได้เห็นพัฒนาการของบริษัทฯ ซึ่งมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นพอร์ตสินเชื่อ รายได้และกำไรที่เติบโตต่อเนื่อง สร้างสถิติสูงสุดใหม่มาโดยตลอด นับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงปลายปี 2557 และคาดว่าในปีนี้รายได้และกำไรจะเติบโตกว่า 35% จากยอดปล่อยกู้ที่เพิ่มสูงขึ้นตามการขยายตัวของสาขา ที่คาดว่าปีนี้จะเพิ่มเป็น 3,900 สาขา ก่อนขยับเป็น 4,500 สาขา ในปี 2563 ผลักดันรายได้และกำไรนิวไฮต่อเนื่อง ตามแผนการดำเนินในช่วง 3 ปีที่บริษัทฯได้วางเอาไว้” นายชูชาติกล่าว
เลื่อนอันดับเรตติ้ง
นอกจากนี้ MTC ยังถือโอกาสอัพเดทข้อมูลอันดับเครดิตเรตติ้งใหม่ ที่ทริสเรทติ้งได้ปรับอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทฯ เป็นระดับ BBB+/Stable จากเดิมอยู่ในระดับ BBB ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำสถานะองค์กรว่ามีความแข็งแกร่ง มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ โดยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/62 มีกำไรสุทธิ 1,005.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.60% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 833.63 ล้านบาท และมีสาขา 3,444 สาขา (ณ วันที่ 31 มีนาคม 2562) ซึ่งการปรับเพิ่มเรตติ้งในครั้งนี้ จะช่วยลดต้นทุนการกู้ของ MTC ได้กว่า 0.30%
ขณะเดียวกันบริษัทฯยังมีการบริหารจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เห็นได้จากคุณภาพหนี้หรืออัตราส่วนหนี้เสียสำหรับไตรมาส 1/62 อยู่ที่ 1.04% จาก 1.29% สำหรับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนและ 1.12% สำหรับสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2561 เนื่องจากการติดตามหนี้และการควบคุมกระบวนการปล่อยสินเชื่อ และอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ในระดับต่ำเพียง 2.9 เท่า ถือเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี