“บลจ.ทิสโก้”...เชื่อหุ้นจีนรับข่าวร้ายไปมากแล้ว ส่ง ‘ทริกเกอร์หุ้นจีน’ ขาย 30 พ.ค.-4 มิ.ย. นี้
>>
“บลจ.ทิสโก้”...เชื่อ ‘หุ้นจีน’ ซึมซับข่าวร้ายจากสงครามการค้าไปมากแล้ว หวังรัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจบรรเทาผลกระทบสหรัฐ ขึ้นภาษี เป็นข่าวดีหนุนตลาด ประเมินหุ้นมีโอกาสพุ่งขึ้นแรง หากทั้งสองฝ่ายเริ่มมีท่าทีจะเจรจากันได้ จับจังหวะหุ้นย่อตัวออก ‘ทริกเกอร์หุ้นจีน (5M#3)’ ขาย IPO 30 พ.ค. - 4 มิ.ย. 19 นี้
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บลจ.ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงต่อเนื่องรับข่าวสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์นำประเด็นเรื่อง Huawei มาเป็นหนึ่งในการต่อรอง พร้อมเตรียมขึ้นภาษีสินค้านำเข้าวงเงินที่เหลืออีก 3 แสนล้านดอลลาร์ ในอัตรา 25% ขณะที่จีนโต้กลับด้วยการขึ้นอัตราภาษีในสินค้ากว่า 5,000 รายการ รวมเป็นวงเงินกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ และส่งสัญญาณไม่ส่งออกแร่ “แรร์เอิร์ธ” ให้สหรัฐ
อย่างไรก็ตามบริษัทประเมินว่า ตลาดได้รับรู้ข่าวร้ายไปค่อนข้างมากแล้ว และระดับราคา (Valuation) ตลาดหุ้นจีนในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำ ขณะที่ผลประกอบการบริษัทในตลาดหุ้นจีนยังคงเติบโต โดยในไตรมาสที่ 1/19 ที่ผ่านมา ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในจีนโดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น H-shares ออกมาดีกว่าที่คาด
“เชื่อว่าหลังจากนี้รัฐบาลจีนจะเริ่มมีมาตรการต่างๆ ทั้งมาตรการด้านการเงินและการคลังออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสงครามการค้า จึงประเมินว่าตลาดหุ้นจีนจะมีโอกาสปรับขึ้น (Upside) และหากทั้งสองฝ่ายจะมีโอกาสมาเจอกันในระหว่างการประชุม G-20 ช่วงปลายเดือนมิ.ย. และหาจุดลงตัวได้จะทำให้ตลาดมี Upside ค่อนข้างมากด้วย”
นายสาห์รัช ยังกล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการจับจังหวะการลงทุนให้กับลูกค้า บริษัทได้เสนอขาย ‘กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า อิควิตี้ ทริกเกอร์ 5M#3’ เป็นทริกเกอร์ฟันด์หุ้นจีนกองทุนที่ 3 ตั้งเป้าหมายเลิกโครงการที่ 5% ภายในระยะเวลา 5 เดือน หรือ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งหลังจากเปิดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ ซึ่งการกำหนดเป้าหมาย 5% ไม่ใช่การรับประกันผลตอบแทนของกองทุน และเป็นเป้าหมายก่อนหักค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ผู้ลงทุนไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ในช่วงระยะเวลา 5 เดือนแรก
อีกทั้ง กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสาร และหมวดอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน ดังนั้น หากมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนดังกล่าว ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก เปิดเสนอขายครั้งแรกวันที่ 30 พ.ค. - 4 มิ.ย. 19 นี้
“บริษัทคาดว่า ความหวังในการเจรจาด้านการค้าจะเกิดขึ้นอีกครั้งในการประชุม G-20 ซึ่งล่าสุดนายโดนัลด์ทรัมป์ ยืนยันว่าจะเข้าพบประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน โดยการประชุมปีนี้จะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 28-29 มิ.ย. 19 ที่ประเทศญี่ปุ่น สำหรับการเจรจาในระหว่างการประชุมนั้นคาดว่า ‘กรณีเลวร้ายที่สุด’ คือ ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากันได้ แต่ก็คาดว่าอาจจะมีการประกาศสงบศึกชั่วคราวไม่เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันอีก ย่อมเป็นข่าวดีให้กับการลงทุนในตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นอีกครั้ง”
ทั้งนี้ ‘กองทริกเกอร์ฟันด์หุ้นจีน (5M#3)’ จะเน้นลงทุนในหุ้นจีนผ่านกองทุนอีทีเอฟ Hang Seng H-Share Index ETF (กองทุนหลัก) ซึ่งเป็นกองทุนรวมอีทีเอฟที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงและตลาดหลักทรัพย์ไต้หวัน มีมูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท และเนื่องจากกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศจึงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน กองทุนจึงมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน