เซ็คเตอร์ท่องเที่ยวเป็นเซ็คเตอร์ที่มีผลกับเศรษฐกิจ โดยปัจจุบันรายได้จากการท่องเที่ยว คิดเป็น 20% ของมูลค่าจีดีพี โดยในปีนี้บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิปประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวไทย 40.6 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 38.3 ล้านคน
แม้ว่าสถานการณ์ท่องเที่ยว โดยเฉพาะยอดนักท่องเที่ยวที่หล่นวูบไปจากเหตุการณ์เรือล่มภูเก็ต ช่วงไตรมาส 3/2562 ค่อยๆ ดีขึ้น แต่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ยอดนักท่องเที่ยวชาวจีนยังติดลบเล็กน้อย สอดคล้องกับภาพรวมการท่องเที่ยวที่ติดลบ 0.7%
และถ้าดูข้อมูลจากการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยอดนักท่องเที่ยวในเชิงปริมาณและการใช้จ่าย ช่วง 4 เดือนแรกของปียังติดลบทั้งคู่ โดยจำนวนนักท่องเที่ยว ชาวจีน ช่วงเดือนมกราคม-เมษายน 2562 อยู่ที่ 4.02 ล้านคน ลดลง 3.42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งมียอดนักท่องเที่ยวชาวจีนอยู่ที่ 4.16 ล้านคน ส่วนในด้านการใช้จ่าย ช่วงเดือนมกราคม-เมษายน 2562 อยู่ที่ 2.21 แสนล้านบาท ลดลง 2.91% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ที่มียอดใช้จ่าย 2.28 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตามถ้าดูยอดรวมทั้งหมด สถานการณ์ท่องเที่ยวช่วง 4 เดือนยังไม่ “ติดลบ” จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวไทย รวม 13.99 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2.11% ขณะที่ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ 7.38 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.15% หรือประมาณ 8,364.48 ล้านบาท
ด้วยสถานการณ์นอกบ้าน โดยเฉพาะปัจจัยเรื่องสงครามการค้าสหรัฐ-จีน แม้ว่าจะทำให้ไทย “โชคดี” รับส้มหล่นจากการเจรจาสงครามการค้า จากการย้ายฐานการผลิตมาในอาเซียนแทน แต่ต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด เพราะการเจรจาที่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของผู้นำ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ส่งผลต่อ Sentiment ของตลาดทุน
สหรัฐแบน Huawei จีนก็พร้อมแบน iPhone
ผู้เขียนลองไปไล่ดูคอมเม้นท์ในข่าวเกี่ยวกับเทรดวอร์ พบว่ามีคนจีนไม่น้อยที่ไม่พอใจกับการตัดสินใจของ “โดนัลด์ ทรัมป์” จนอยากแบนการใช้สินค้าและแบรนด์ของสหรัฐด้วย พอสหรัฐจับ “Huawei” เป็นข้อต่อรองทางการค้า หากไม่สามารถเจรจากันได้แบบแฮปปี้เอนดิ้งภายใน 90 วันตามที่มีข่าว คนจีนก็พร้อมแบน “iPhone”
แล้วในด้านการท่องเที่ยวล่ะ? ได้รับผลกระทบมั้ย ย้อนไปพบว่ามีรายงานข่าวว่าช่วงปลายปีที่แล้ว ตอนที่มีข่าวสหรัฐจะเก็บภาษีจีน มูลค่า 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ชาวจีนที่จองตั๋วไปเที่ยวสหรัฐช่วง Golden Week พร้อมทิ้งตั๋วเดินทางทันที!
บอกเลยว่าถ้าไม่พอใจใคร ก็เล่นใหญ่พอๆ กับคนไทย โดยเปอร์เซ็นต์ที่ทิ้งตั๋วก็ไม่ใช่น้อยๆ อยู่ที่ 42% เลย ทั้งนี้ยอดนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางไปเที่ยวสหรัฐ ปี 2561 ลดลงครั้งแรกในรอบ 15 ปี โดยรวมลดลง 5.7% หรือลดลง 2.9 ล้านคนเลย ที่สำคัญจีนเป็นชาติที่ไปเที่ยวสหรัฐมากที่สุด แถมยังมี Spending Power เรียกว่ามากทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพ (การใช้จ่าย)
เพราะฉะนั้นตัวเลขการท่องเที่ยวไทย อาจจะโตขึ้นก็ได้ ส่งผลดีกับหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว โรงแรมและสายการบิน เพราะอย่าลืมว่าจีนในวันนี้ไม่ใช่จีนในอดีต ตามที่ประธาน Huawei Technologies บอกว่า ทรัมป์ประเมินศักยภาพเราต่ำไป!
“AOT” ดาวเด่นหุ้นท่องเที่ยวระยะยาว
โดยในมุมมองของบล.ฟิลลิป แนะนำซื้อ ERW หรือ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) โดยให้ราคาเป้าหมาย 7.80 บาท จากแนวโน้มการดำเนินงานช่วงครึ่งปีหลังที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นตามอุตสาหกรรม และการขยายโรงแรมฮ็อป อินน์อีก 7 แห่ง ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 2-3 ดาว เจาะกลุ่มกำลังซื้อชนชั้นกลาง นอกจากนี้ JW Marriot จะกลับมาเปิดครบ 441 ห้องในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ภายหลังปิดปรับปรุงห้องพัก
บล.คันทรี่ กรุ๊ป แนะนำซื้อ CENTEL หรือบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) จากปัจจัยการเพิ่มห้องพัก 7,700 ห้อง เมื่อปีที่แล้ว เพิ่มเป็น 13,000 ห้องในปี 2562 ดังนี้
- COSI Pattaya จำนวน 282 ห้อง ในเดือนกันยายน
- Centara Sriracha จำนวน 150 ห้อง โดยมีแผนเปิดในช่วงปลายไตรมาสนี้ และ
- Centara Ao Nang Beach Resort & Spa Krabi จำนวน 179 ห้อง โดยมีแผนเปิดช่วงปลายไตรมาส 3
ยิ่งเมื่อเทียบกับฐานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวช่วงครึ่งปีหลัง 2561 ที่ค่อยข้างต่ำ จะทำให้บริษัททำรายได้ตามเป้า ซึ่งปัจจุบันราคาซื้อขายอยู่ในระดับต่ำสุด ลดลงจากจุดสูงสุดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ราว 31% ขณะเดียวกันข้อมูลจาก Bloomberg มีนักวิเคราะห์ 8 จาก 25 ท่าน ให้คำแนะนำซื้อหุ้น CENTEL “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 45.65 บาท คิดเป็น Upside จากราคาปัจจุบันราว 30%
ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส แนะนำซื้อหุ้น MINT หรือ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) โดยแนะนำราคาเป้าหมาย 48 บาท ให้มุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มผลการดำเนินงานของ MINT ในช่วงที่เหลือของปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาสนี้ที่เป็น High Season ของ NH Hotel Group ธุรกิจโรงแรมสัญชาติสเปน ดำเนินธุรกิจโรงแรม 350 แห่ง 28 ประเทศทั่วโลก บวกกับแรกดดันค่าเงินบาทแข็งค่าลดลง ขณะที่โรงแรมในไทยเริ่มพลิกกลับมาบวกได้เล็กน้อย นอกจากนี้ธุรกิจอาหารก็น่าจะทยอยฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังเช่นกัน ประเมินกำไรทำสถิติใหม่ (นิวไฮ) ต่อเนื่อง
ด้านบล.หยวนต้า แนะนำซื้อ AOT ที่ราคาเป้าหมาย 79 บาท โดยให้ 3 เหตุผลว่า
- จับตาผลการประมูล Duty Free ในวันที่ 31 พฤษภาคม เป็นปัจจัยสำคัญกำหนดทิศทางหุ้น
- เบื้องต้นคาดส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 25% หากส่วนแบ่งถึง 30% ราคาหุ้นปรับขึ้นประมาณ 3 บาทต่อหุ้น แต่หากส่วนแบ่งเท่าเดิมเป็น ราคาหุ้นลดลง ประมาณ 3 บาทต่อหุ้นเช่นกัน และ
- AOT ยังแข็งแกร่งในเชิงความสามารถในการแข่งขันผูกขาด และอยู่ในอุตสหกรรมการท่องเที่ยวที่ยังเป็นดาวเด่นในระยะยาว
ที่มา
บทวิเคราะห์หุ้น ERW, CENTEL, MINT, AOT และบทวิเคราะห์เซ็คเตอร์ท่องเที่ยว, สถิติด้านการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวฯ