ถ้าคุณเป็นนักลงทุนประเภทเก็งกำไรระยะสั้นถึงกลาง หรือเก็งกำไรตามสภาวะตลาด Momentum Investment ที่สุดของหุ้นน่าลงทุนต้องเป็นหุ้นเติบโต (Growth Stocks) เท่านั้น
หุ้นเติบโตที่นักลงทุนรู้จักในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ไล่ตั้งแต่ BEAUTY CBG COM7 PTG TKN KCE KTC SAWAD MTC ORI ANAN และอื่นๆ อีกมากมาย
หุ้นเติบโตสามารถให้ผลตอบแทนได้สูงเฉลี่ย 10-50% ยาวนาน 2-3 ปีติดต่อกัน
สังเกตไหมว่าหุ้นเติบโตข้างต้นจะมีลักษณะอย่างไร
- มักจะเป็นกิจการที่อยู่ในช่วง Growth Stage
- สินค้าหรือบริการกำลังติดตลาด
- รายได้เติบโตอย่างรวดเร็ว
- คู่แข่งยังน้อย หรือต่อให้มีคู่แข่งเยอะ แต่คู่แข่งในระนาบเดียวกันมีน้อย
- มีแผนในการขยายกิจการ เช่น ขยายสาขาอย่างรวดเร็ว หรือขยายการจัดจำหน่ายไปต่างประเทศ
ถ้าคุณเข้าใจว่าลักษณะข้างต้น การจะหาหุ้นเติบโตก็ไม่น่าจะยากลำบากมากนัก ขอเพียงแค่คุณสามารถศึกษารูปแบบธุรกิจหรือ Business Model ของแต่ละบริษัทได้อย่างแตกฉาน เมื่อเข้าใจธุรกิจก็มาดูว่าจะซื้อหุ้นตัวนั้นที่ตรงไหน
หนึ่งในคำกล่าวที่น่าสนใจคือ Growth At Reasonable Price (GARP) คือลงทุนหุ้นเติบโตในราคาที่เหมาะสม
คนที่ซื้อหุ้นเติบโตตั้งแต่ที่มันยังไม่โต (วิเคราะห์และคาดการณ์ถูกว่าจะเติบโตในอนาคต) อันนี้ไม่มีปัญหาเพราะจะได้ราคาที่เหมาะสมแน่นอน แต่ปัญหาที่นักลงทุนมักจะเจอก็คือ เราจะรู้ว่ามันเป็นหุ้นเติบโตก็ต่อเมื่อราคามันวิ่งขึ้นมาแล้ว และแน่นอนว่าถ้าทุกคนรู้ว่าหุ้นตัวไหนเป็นหุ้นเติบโตเร็ว ก็คงจะเข้าซื้อจนทำให้ราคาขึ้นไปอยู่ในระดับสูง เข้าทำนองว่าของดีก็ต้องราคาแพงเป็นธรรมดา ทำให้หุ้นเติบโตส่วนใหญ่มักจะมี Price-to-earning ratio (P/E) สูงไปด้วย ซึ่งนักลงทุนบางคนอาจจะไม่ค่อยกล้าลงทุน เนื่องจากมูลค่าที่สูงกว่าหุ้นตัวอื่น (ในแง่ P/E หรือ P/B ratio)
การใช้ PEG หรือ P/E Ratio หารด้วยการเติบโต จึงเป็นคำตอบที่หลายคนใช้สำหรับการลงทุนในหุ้นเติบโต โดยส่วนใหญ่มักจะให้ PEG ไม่เกิน 1 เป็นค่าที่ยังสามารถลงทุนได้
แต่วิธีการลงทุนด้วย PEG ก็สามารถมีปัญหามากๆ ได้ หากกำไรต่อหุ้นมันไม่ได้เติบโตอย่างที่คาดหวัง หุ้น A มีค่า P/E สูงถึง 40 เท่า และมีอัตราการเติบโตของกำไรที่คาดหวัง 40% สมมติกำไรต่อหุ้นมีค่าเท่ากับ 1 บาทต่อหุ้น ดังนั้นราคาหุ้นปัจจุบันจะอยู่ที่ 40 บาท
ในกรณีที่กำไรเป็นไปตามคาดคือเติบโต 40% จาก 1 บาทจะเพิ่มเป็น 1.4 บาท ราคาหุ้นจะกลายเป็น 56 บาท (1.4 คูณด้วย P/E 40 เท่า) หรือได้ผลตอบแทน 40%
ในกรณีที่กำไรเติบโตต่ำกว่าคาด เช่น เติบโตเพียง 20% กำไรต่อหุ้นจะกลายเป็น 1.2 บาท ทีนี้ก็ต้องมาดูว่าตลาดยังยอมรับ P/E ได้ที่กี่เท่า ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่ใช่ 40 เท่าอย่างเดิม หากตลาดยอมรับ PEG 1 เท่า ก็ต้องให้ P/E เพียง 20 เท่า ซึ่งนั่นหมายความว่าราคาหุ้นจะต้องลงมาเหลือ 24 บาท ขาดทุนเน้นๆ 40%
ความสำคัญของการลงทุนในหุ้นเติบโตจึงอยู่ที่การคาดการณ์
- การเติบโตของกำไร
- การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของ P/E
สำหรับผม ผมยอมรับได้ที่จะลงทุนหุ้น P/E 20-25 เท่า โดยมีอัตราการเติบโตของกำไร 10-15% แบบเสถียร ดีกว่าไปลงทุนในหุ้น P/E 40-50 เท่า และคาดการณ์กำไรโต 50% เหตุผลเพราะกิจการที่จะสามารถทำกำไรเติบโต 50% ในทุกปีมันเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก
การลงทุนในหุ้น P/E สูงๆ แม้จะมีอัตราการเติบโตของกำไรสูง แต่เมื่อไหร่ที่กำไรไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง ราคาก็พร้อมจะลงโทษโหดมากๆ เช่นกัน
ขอจบตอนไว้ตรงนี้ก่อนนะครับ ไว้มาต่อกันในเรื่องจุดอ่อนของหุ้นเติบโต (ศักยภาพการแข่งขันในอนาคต)