กลยุทธ์ลงทุนหุ้นไทยเดือนมิ.ย. สร้างรีเทิร์นอย่างไรท่ามกลางปัจจัยลบ ?

>>

อย่าเพิ่งท้อ ถ้าเรากำลังจะบอกว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนมิ.ย. ยังคงมีปัจจัยลบเรียงแถวรออยู่อีกหลายเรื่อง …นั่นไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลเลย หากคุณรู้วิธีที่จะวางแผนการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงเหล่านั้น


ก่อนอื่นคงต้องกล่าวถึงตลาดหุ้นไทยเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาให้ฟังก่อน ซึ่งโดยภาพรวมจะเห็นได้ว่า ตลาดหุ้นไม่ได้มีการปรับตัวขึ้นอย่างที่ “สำนักวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้” คาดหวังไว้ หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สร้างความประหลาดใจด้วยการขึ้นภาษีสินค้านําเข้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ฯ จากเดิมที่อัตรา 10% เป็น 25% ขณะที่จีนตอบโต้กลับ ด้วยการเพิ่มภาษีสินค้านําเข้าสหรัฐฯ วงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ จากเดิมที่อัตรา 10% เป็น 25%


แม้จะมีปัจจัยลบด้านสงครามการค้า แต่ตลาดหุ้นไทยเดือน พ.ค.ก็ยังสามารถเคลื่อนไหว “Outperform” กว่าตลาดหุ้นโลกได้ (SET Index –3.2% vs. MSCI World Index –5.5%) ซึ่งเป็นผลจากการรับอานิสงส์ในเรื่องของ MSCI Rebalancing ที่ปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยในตลาดเกิดใหม่ (EM) ขึ้นจาก 2.4% เป็น 2.9% ส่งผลให้เงินนอกไหลเข้าสวนทางตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน


คำถามก็คือ
 แล้วทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือน มิ.ย.จะเป็นอย่างไร ? มีประเด็นใดบ้างที่ต้องจับตา ?

  • เจาะลึกประเด็นที่ต้องจับตา


สำหรับในเดือนมิ.ย.มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ หลายเรื่องที่มีอิทธิพลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ได้แก่

1.การประชุมธนาคารกลาง : ในเดือน มิ.ย. นี้ ธนาคารกลางหลายแห่งจะมีการจัดประชุม ซึ่งสำนักวิจัยฯ ไม่คาดว่าธนาคารกลางใด ๆ จะเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ เนื่องจากยังมีมุมมอง “Dovish” และ “Data-dependent” ต่อการดําเนินนโยบายการเงินอยู่ แต่เราคาดว่าธนาคารกลางส่วนใหญ่จะมีการปรับลดประมาณการทางเศรษฐกิจลง จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวกว่าคาด และเผชิญปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้นทั้งสงครามการค้า และความไม่แน่นอนของสถานการณ์ที่อังกฤษจะถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (Brexit)

2.ตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) : สำนักวิจัยฯ มองว่าตลาดยังมีแนวโน้มปรับลดประมาณการ GDP และกําไรปีนี้ลงอีก หลังตัวเลขไตรมาส1 อ่อนแอ และยังไม่ได้สะท้อนการขึ้นภาษีตอบโต้กันระหว่างสหรัฐฯ และจีนรอบใหม่ อย่างไรก็ตาม สำนักวิจัยฯมองการปรับลดประมาณการกําไรของตลาดไม่น่ามีอีกมากแล้ว เนื่องจากประมาณการกําไรนับตั้งแต่ต้นปีนี้ ถูกปรับลงมาพอสมควรแล้วที่ –6% vs. แนวโน้มการ ปรับประมาณการกําไรในอดีตที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ -8.0% (ยกเว้นถ้าเป็นปีที่เกิดวิกฤติ เช่น วิกฤติเศรษฐกิจปี 2008–09 หรือวิกฤติราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงอย่างรุนแรงในปี 2014–15 ประมาณการกําไรของตลาดจะสามารถปรับลงได้มากกว่าระดับ -10%)

  • วิเคราะห์หุ้นไทย เดือน มิ.ย. — หุ้นเด่นน่าลงทุน


สำนักวิจัยมอง SET Index ในระดับปัจจุบันที่ 1,620 จุด เริ่มมี Downside จํากัด เนื่องจากคิดเป็น Fwd. PER ปี 20F ที่ 13.8 เท่า ซึ่งเป็นระดับ -0.5SD จากค่าเฉลี่ย Fwd. PER ระยะยาวที่ 15.3 เท่า และหากคํานึงถึงโอกาสการหั่นประมาณการกําไรลงอีก 2–3% ระดับ SET Index ก็จะต่ำกว่าระดับ 1,600 จุด ไม่มากนัก ดังนั้น SET Index ที่ต่ำกว่าระดับ 1,600 จุด จึงน่าจะเป็นจังหวะในการทยอยสะสมอีกครั้ง

โดยแม้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมยังถูกกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้า แต่เรามองตลาดหุ้นไทยเป็นตลาด “Defensive” ทําให้ Downside ค่อนข้างจํากัด (แต่ในขณะเดียวกัน Upside ก็จํากัดเช่นกัน) นอกจากนี้สำนักวิจัยฯมองว่า การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่จะตามมาด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ดังนั้น ประเด็นหุ้นน่าลงทุนในเดือนนี้ จึงเน้นหุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งการบริโภคและการลงทุนที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการจัดตังรัฐบาลใหม่

โดยหุ้นเด่นในเดือน มิ.ย. ที่สำนักวิจัยแนะนํา คือ AEONTS, CBG, CK, MAJOR, ROJNA, SEAFCO และ WHA ด้านแนวรับสําคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1,600 / 1,575–80 / 1,550 และแนวต้าน 1,640/ 1,660–65 / 1,675–85 จุด ตามลําดับ


ข้อมูลทั้งหมดนี้ น่าจะช่วยให้นักลงทุนวางกลยุทธ์ ก่อร่างสร้างผลตอบแทน ฝ่าด่านปัจจัยลบที่จะเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทยเดือนมิ.ย.นี้ได้


บทความนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง Wealthy Thai กับ Tisco Mastery