“บลจ.กสิกรไทย”...เตรียมปันผล ‘กอง ABFTH’ 25 มิ.ย. นี้

>>

“บลจ.กสิกรไทย”...เตรียมเงินกว่า 80 ล้านบาท จ่ายปันผล กอง ABFTH’  25 มิ.ย.นี้ คาดดอกเบี้ยนโยบายไทยยืน 1.75% ถึงสิ้นปีนี้


นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์
Chief Investment Officer บลจ.กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมจ่ายเงินปันผล กองทุนเปิดดัชนีพันธบัตรไทยเอบีเอฟ (ABFTH)’ สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 18 – 31 พ.ค. 19 ในอัตรา 11.00 บาทต่อหน่วย ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่อในสมุดทะเบียน ณ วันที่ 18 มิ.ย. 19 โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 25 มิ.ย. 19 นี้ รวมมูลค่าทั้งสิ้น 87.73 ล้านบาท


ปัจจุบัน ‘กอง ABFTH’ มีขนาดประมาณ 10,205 ล้านบาท และจดทะเบียนซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ซึ่งกองทุนมีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลไทย หรือออกโดยภาครัฐที่มีรัฐบาลไทยเป็นผู้ค้ำประกัน หรือภาครัฐที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือไม่ต่ำกว่าระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) จากสถาบันจัดอันดับที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล จึงมีความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ต่ำมาก

 
( นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ )


“นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อปี2006 ‘กอง ABFTH’ จ่ายปันผลรวมแล้วทั้งสิ้น 27 ครั้ง เป็นเงิน 435.73 บาทต่อหน่วย โดยในรอบผลการดำเนินงาน 1 ปีที่ผ่านมา กองทุนมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ยอยู่ที่ 1.19% ต่อปี


ขณะที่ผลการดำเนินงาน ณ 31 พ.ค. 19

  • ย้อนหลัง   1 ปี>>>4.62% ต่อปี>>>BM 4.46% ต่อปี
  • ย้อนหลัง   5 ปี>>>3.98% ต่อปี>>>BM 4.09% ต่อปี
  • ย้อนหลัง 10 ปี>>>3.92% ต่อปี>>>BM 4.06% ต่อปี


“สำหรับภาวะตลาดตราสารหนี้ จากปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ยังมีความไม่แน่นอน ทำให้เศรษฐกิจโลกทั้งกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและประเทศเกิดใหม่มีสัญญาณที่ชะลอลง  ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐอาจปรับลดดอกเบี้ยลง ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลดลงมาก และส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ไทยปรับตัวลดลงตาม ทั้งนี้ ยังคงคาดว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทยมีแนวโน้มทรงตัวไปอย่างน้อยจนถึงสิ้นปีนี้”


นายชัชชัย ยังกล่าวอีกว่า ด้านส่วนต่างผลตอบแทนหุ้นกู้ (Credit Spread) ของไทย ที่ปรับตัวลดลงจากการที่มีอุปสงค์จากนักลงทุนในการหาโอกาสเพิ่มผลตอบแทน ทำให้ผลตอบแทนการลงทุนตราสารหนี้โดยรวมในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวได้ดี อย่างไรก็ตาม สำหรับการลงทุนในอนาคตซึ่งจะมีประเด็นเรียกเก็บภาษีเงินได้ตราสารหนี้กองทุนรวมในอัตรา 15% ก่อนจ่ายดอกเบี้ยให้กองทุนรวม สำหรับตราสารที่กองทุนลงทุนหลังวันที่ 20 ส.ค. 19  ซึ่งทางบริษัทได้ติดตามศึกษาประเด็นดังกล่าว และเตรียมสถานะของกองทุนเพื่อลดผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีดังกล่าว โดยได้ลงทุนเพิ่มเติมในหุ้นกู้เอกชนก่อนวันที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้


“สำหรับ ‘กอง ABFTH’ เป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะยาวที่มีอายุเฉลี่ยของตราสาร (Portfolio Duration) ยาวกว่ากองทุนรวมตราสารหนี้ทั่วไป จึงควรมีระยะเวลาการถือครองเฉลี่ยประมาณ 6-7 ปี เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น”