หุ้นที่ร้อนแรงที่สุดในนาทีนี้คงหนีไม่พ้นหุ้น CBG หรือ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตเครื่องดื่มชูกำลังแบรนด์ “คาราบาวแดง” ที่ล่าสุด ราคาหุ้นฮอตสุดขีด ทะยานขึ้นจาก 30.75 บาท เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ขึ้นมาอยู่ที่ 74.25 บาทต่อหุ้น หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 141.25 % ซึ่ง CBG เป็นหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ในวินาทีนี้
ผลการปรับเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น ส่งผลให้ผู้ถือหุ้นร่ำรวยขึ้นไปพร้อมๆกัน โดยเฉพาะผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่ 4 ของบริษัท อย่าง น้าแอ๊ด คาราบาว หรือ นายยืนยง โอภากุล ศิลปินเพื่อชีวิต เจ้าของเพลงฮิต “คนจนผู้ยิ่งใหญ่” “กัญชา” “เมด อิน ไทยแลนด์” “ราชาเงินผ่อน” “ประชาธิปไตย” ร่ำรวยเพิ่มขึ้น โดยน้าแอ๊ดถือหุ้นอยู่ใน CBG จำนวน 70.4 ล้านหุ้น หรือ คิดเป็น 7.05% โดยมูลค่าหุ้นของ น้าแอ๊ด อยู่ที่ 5,233 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากต้นปีที่ 2,167 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3,066 ล้านบาท คิดเป็น 141.4% ส่วนทิศทางการเติบโตในอนาคต นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ยังมองว่ามีโอกาสที่สดใส
โอกาสขึ้นยังมีอยู่
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ประเมินว่า CBG มีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นจากการเข้าชมโรงงานของ CBG ทั้ง 3 โรงงานที่ จ.ฉะเชิงเทรา ประเด็นหลักๆ ที่ชอบจากทั้ง 3 โรงงานมี คือ
- โรงงานของบริษัทใช้พนักงานจำนวนไม่มาก แต่มีประสิทธิภาพในการผลิตสูง
- พื้นที่ของโรงงานมีเพียงพอสำหรับการขยาย Production lines , Furnaces สำหรับรองรับยอดขายที่เพิ่มขึ้น
- การใช้ High speed lines ในบางส่วนทำให้ได้กำลังการผลิตที่สูง และมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ
คงคำแนะนำเป็น “ซื้อ” และปรับราคาเป้าหมายปี 2563 ขึ้นเป็น 83.00 บาท จากเดิม 75.00 บาท อิงระดับราคาปิดกำไรต่อหุ้นคาดการณ์ในอนาคตที่ 35 เท่า ถึงแม้ว่าราคาหุ้นจะปรับขึ้นมา 31% ใน 1 เดือน แต่เรามองว่าหุ้นยังน่าสนใจ เพราะในปีนี้จะเป็นการเข้าสู่วัฏจักรการเติบโตรอบใหม่ของ CBG เนื่องจากกำไรจะฟื้นตัวอย่างชัดเจน หลังจากที่กำไรปกติเติบโตติดลบ 2 ปีติดต่อกัน
โดยปัญหาสำคัญได้รับการแก้ไขแล้ว ส่งผลให้ปีนี้กำไรเติบโตโดดเด่น อีกทั้งยังรับผลบวกจากโรงงาน ACM ได้เต็มปีในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ยังมองว่าปี 2563 จะเป็นปีที่ดีต่อเนื่อง จึงคาดว่ากำไรยังคงขยายตัว และ CBG ยังมีโอกาสการเติบโตจากตลาดต่างประเทศอีกมาก
บล.ทิสโก้ออกบทวิเคราะห์ประเมินว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาสที่ 2 คาดผลประกอบการเพิ่มขึ้น จากต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ลดลงเป็นหลัก โดยคาดกำไรไตรมาสที่ 2 จะเพิ่มขึ้นทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากอัตรามาร์จิ้นที่จะดีขึ้นทั้งในและต่างประเทศ โดยในประเทศมีการปรับสูตรความหวานน้ำตาลลดลงส่งผลให้ภาษีน้ำตาลลดลง และต่างประเทศคาดมาร์จิ้นดีขึ้นจากอัตรากำลังการผลิตกระป๋องที่เพิ่มขึ้น
สำหรับค่าใช้จ่ายในการทำการตลาดในประเทศในช่วงไตรมาสที่ 2 คาดอยู่ในระดับเดียวกับไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทไม่ทำกิจกรรมทางการตลาด อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายในครึ่งปีหลังที่เพิ่มขึ้นจะถูกชดเชยด้วยค่าสปอนเซอร์กีฬาเชลซีที่ลดลงไตรมาสละ 50 ล้านบาท ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายไม่เพิ่มขึ้นมาก สำหรับยอดขายในประเทศเราคาดจะทรงตัว และต่างประเทศยังคาดเติบโต 13% โดยมาจากประเทศกัมพูชาที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก และคาดยอดขายจีนในไตรมาสที่ 2 จะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 24 ล้านหน่วย และจากไตรมาสที่ 1 ที่ 9 ล้านหน่วย เนื่องจากผ่านช่วงโลว์ซีซั่นหน้าหนาวในจีนแล้วในช่วงไตรมาสที่ 4 ถึง ไตรมาสที่ 1 ในขณะที่คาดอังกฤษยอดขายยังทรงตัวจากช่วงสร้างแบรนด์
ทั้งนี้บล.ทิสโก้ ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” จาก “ขาย” จากสัญญาณผลประกอบการที่เริ่มชัดเจนที่จะเติบโตแบบก้าวกระโดดในปีนี้ จากอัตราทำกำไรที่เพิ่มขึ้นและการลดค่าใช้จ่ายในอังกฤษลง จึงปรับราคาเป้าหมายใหม่สะท้อนการปรับประมาณการใหม่อยู่ที่ 70.75 บาท จากเดิม 50 บาท อ้างอิง PER +2STDV ที่ 31X จากโอกาสการเติบโตของการส่งออก ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER19F ที่ 26.9X เทียบเท่า PEG19F ที่ 0.3X ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มเครื่องดื่มที่ 0.8X และ ROE19F อยู่ที่ 28.8% มากกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 15.6%
ราคาหุ้น CBG ที่ปรับตัวขึ้นมาร้อนแรงสุดขีดนั้นส่งผลให้นักลงทุน ผู้ถือหุ้นใหญ่มีความมั่งคั่งมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยความคาดหวังของผู้ถือหุ้นที่รุนแรง จึงทำให้ผลประกอบการหลังจากนี้จะเป็นเครื่องชี้วัดที่สำคัญ หากไม่สามารถทำได้ตามที่คาดหวัง ราคาหุ้นก็พร้อมถล่มได้ทุกเมื่อ