โอกาสของหุ้นกลุ่มอาหาร ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น-ต้นทุนลดลง

>>

ถือเป็นเรื่องดีของธุรกิจอาหารในตอนนี้ เมื่อราคาสินค้ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับต้นทุนวัตถุดิบที่มีการปรับลดลง โดยหุ้นกลุ่มอาหารถือเป็นธุรกิจที่อยู่คู่คนไทย และคนทั้งโลกมาอย่างยาวนาน เนื่องจากเป็นปัจจัยสี่ ที่คนเราขาดไม่ได้ และต้องมีเป็นองค์ประกอบภายในครอบครัว


ทั้งนี้ราคาหมูและราคาไก่ในประเทศปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุด ในช่วงเดือนมิ.ย.ที่ผ่าน เนื่องจากได้ผลบวกจากการแพร่ระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกันในหมู หรือ ASF ในจีนและเวียดนาม โดยการเพิ่มขึ้นของราคาหมู และไก่นั้น จะส่งผลบวกต่อผลกำไรกลุ่มธุรกิจเกษตรและอาหารด้วย


นอกจากนี้ภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่แล้วเสร็จ ยังจะได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งถือเป็นนโยบายต่อเนื่อง ที่เชื่อว่าจะยังคงมาตรการดังกล่าวไว้ โดยเฉพาะนโยบายพยุงราคาสินค้า และปรับเพิ่มราคาสินค้าเกษตร ที่จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้กับภาคประชาชนด้วย

             
สำหรับโรคอหิวาต์แอฟริกันในหมู หรือ ASF ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ของหมู แต่ตอนนี้พบว่ายังไม่มีวัคซีนในการรักษา ทำให้หมูที่ได้รับเชื้อ จะเสียชีวิตเกือบทั้งหมด 100% และยังคงต้องเฝ้าระวังว่าโรคดังกล่าวจะแพร่ระบาดมายังประเทศไทยเราหรือไม่ และหากแพร่เชื้อเข้ามานั้น จะรุนแรงเหมือนที่ระบาดในประเทศจีนและเวียดนามไหม


อย่างไรก็ตามจากประเด็น โรคอหิวาต์แอฟริกันในหมู ยังถือเป็นเรื่องดีของหุ้นในกลุ่มอาหาร เพราะทำให้หมูอยู่ในสภาวะขาดแคลน ส่งผลให้ราคาหมูปรับตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ เนื้อไก่นั้นยังเป็นสินค้าทดแทนกันได้ ทำให้มีการบริโภคไก่มากขึ้น ส่งผลให้ราคาไก่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จึงได้รับประโยชน์จากปัจจัยดังกล่าวเช่นกัน


วันนี้ Wealthy Thai จะพามารู้จักกับหุ้นกลุ่มอาหารที่น่าจับตาและเป็นหุ้นเด่นของกลุ่มนักวิเคราะห์ที่เชื่อว่าทิศทางต่อจากนี้มีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งจะได้รับปัจจัยบวกจากราคาสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น สวนทางกับราคาต้นทุนที่ปรับตัวลดลง

 


เคจีไอประเมิน
TFG ได้ประโยชน์สูง

             
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองว่า จากราคาหมู และ ไก่ ที่ปรับตัวสูง เป็นผลมาจากโรคอหิวาต์หมู ที่ระบาดในจีน และเวียดนาม ทำให้ดีมานด์การส่งออกสูงขึ้นทั้งหมู และไก่ ขณะที่ต้นทุน อาหารสัตว์ลดลง  ทั้งจากราคาถั่วเหลือง และข้าวโพดได้ปรับตัวลดลง


ดังนั้นนักวิเคราะห์จึงมองว่า บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG ได้อานิสงส์สูงสุดในกลุ่ม (เป้า Consensus เฉลี่ย 3.95 บาท, เป้าสูงสุดใน Consensus 4.7 บาท) ซึ่งประเมินแนวรับ 4.30 บาท และ 4.26 บาท / แนวต้าน 4.5 บาท (Trailing stop 4 บาท)


ส่วนบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF และบริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT มีสัดส่วนการส่งออก และรายได้จากต่างประเทศสูง ทำให้เจอผลกระทบด้านลบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า แต่ขณะที่ TFG นั้นมีสัดส่วนส่งออกต่ำเพียง 15% ของรายได้รวม


ทางด้านปัจจัยความเสี่ยงจาก ผลกระทบของการระบาดของโรคอหิวาต์หมู ที่อาจเข้าไทยนั้น คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อ Sentiment ในระยะสั้นเท่านั้น แต่ระยะกลาง – ยาว เชื่อว่าจะเป็นบวกกับฟาร์มใหญ่อย่าง CPF, TFG ที่มีระบบป้องกันที่ดี 

 

TFG ลุ้นงบไตรมาส2 กำไรทะลุ 402 ล้านบาท


นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองว่าไตรมาส 2/2562 ทาง TFG จะมีกำไรสุทธิ 394 ล้านบาท ส่วนกำไรปกติคาดที่ 402 ล้านบาท เติบโต 20.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 75.7% จากไตรมาสก่อน โดยคาดว่าจะตั้งสำรองประโยชน์พนักงานราว 8 ล้านบาท ขณะที่โรค ASF ในเวียดนามผลกระทบจำกัดเพราะมีฟาร์มหมูเพียง 7,500 – 8,000 ตัวต่อเดือน


โดยการเติบโตนั้น ได้รับแรงหนุน ด้วยราคาจำหน่ายไก่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน  ซึ่งราคาขายเฉลี่ยรวมราคาส่งออกของ TFG อยู่ที่ราว 40 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 6.3% จากค่าเฉลี่ยปี 2561 ทั้งจากราคาในประเทศที่ดีขึ้น และราคาส่งออกที่ฟื้นตัวจากไตรมาสที่แล้ว รวมถึงการส่งออกไปจีนที่เพิ่มขึ้นตามลำดับ หนุนอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยคาดไตรมาส 2/2562 อยู่ที่ 11.8% จากไตรมาส 1/2562 อยู่ที่ 10.2% และไตรมาส 2/2561 อยู่ที่ 9.5%


ไม่เพียงเท่านี้ จากปริมาณการส่งออกไก่ที่จะทยอยเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาสที่ 3  ราคาขายเพิ่มขึ้น โดยรับผลจากการขาดแคลนเนื้อหมูในจีน ที่ทำให้มีความต้องการไก่ทั้งชิ้นส่วนและเนื้อไก่มากขึ้น หนุนราคาส่งออกขยายตัว โดยบริษัทตั้งเป้าการส่งออกไก่ทั้งปีที่ 68,000 ตัน เติบโต 24% จากปีก่อน พร้อมกับต้นทุนกากถั่วเหลืองและข้าวโพดมีแนวโน้มขยับลงต่อในช่วงที่เหลือของปีนี้ด้วย


นักวิเคราะห์ จึงปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้น 17% ในปี 2562 โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,394 ล้านบาท เติบโต 161.3% จากปี 2561 ที่มีกำไรสุทธิ 646 ล้านบาท และปรับคาดการณ์กำไรปี 2563 ขึ้นอีก 33% เป็น 1,592 ล้านบาท เติบโต 14.2% พร้อมให้คำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” โดยได้ราคาเป้าหมายใหม่หลังปรับประมาณการขึ้นมาอยู่ที่ 3.98 บาท

 


“ทิสโก้”  มั่นใจราคาไก่ยังขึ้นต่อเนื่อง


สำนักวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด มีมุมมองเชิงบวกต่อธุรกิจไก่เพิ่มขึ้น จากแนวโน้มราคาไก่ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาถึงปัจจุบันปรับเพิ่มขึ้น จากความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้นและตลาดส่งออกเติบโตได้ดี โดยปริมาณการเลี้ยงไก่ในอุตสาหกรรมทรงตัวอยู่ที่ 33 ล้านตัว/สัปดาห์


ดังนั้นจึงคาดราคาไก่จะดีต่อเนื่องถึงปลายปี จากปัจจัยบวกหลายด้าน ได้แก่ ปัญหาโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมูหรือ ASF ที่ระบาดหนักในจีน เวียดนาม และลาว เป็นต้น โดยจีนเป็นประเทศที่ผลิตและบริโภคมากที่สุดในโลกที่ 600 ล้านตัว/ปี และได้เกิดเสียหายจากโรคดังกล่าวไปแล้วประมาณ 30% ส่งผลทำให้เกิดความต้องการสินค้าทดแทนอย่างเช่น ไก่เพิ่มขึ้น


สำหรับอุตสาหกรรมไก่มีการขยายตลาดส่งออกเพิ่มขึ้นได้แก่ ตะวันออกกลาง สิงคโปร์ เกาหลี เป็นต้น โดย GFPT ได้ขยายกำลังการผลิตรองรับการส่งออกเพิ่มที่ขึ้น และได้ขยายโรงเชือดไก่ที่จะเสร็จปลายปี 2563 กำลังการผลิต 1.5 แสนตัวต่อวัน (จากปัจจุบัน 3 แสนตัวต่อวัน) และโรงแปรรูปไก่ปรุงสุกที่จะเสร็จในปี 2565


ส่วนผลกระทบค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นนั้น คาดจะส่งผลกระทบค่อนจำกัดต่อ GFPT เนื่องจากบริษัทป้องกันความเสี่ยงจากวิธี natural hedge จากสัดส่วนการส่งออกไก่และกากนำเข้ากากถั่วเหลืองเป็นค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในสัดส่วนที่ค่อนข้างใกล้เคียงกัน


 


GFPT ฟันกำไรสุทธิไตรมาส 2 เติบโต 33%


สำนักวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด มองอีกว่า ไตรมาส 2/2562 ทาง GFPT จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 281 ล้านบาท เติบโต 33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 23% จากไตรมาส 1/2562 เป็นผลมาจาก คาดว่าจะมีรายได้เติบโต 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมทั้งมองว่าการส่งออกจะอยู่ที่ 10,200 ตัน เพิ่มขึ้น 29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อน โดยปริมาณสัดส่วนส่งออกไปจีนเพิ่มขึ้นเป็นหลัก (25% ของปริมาณส่งออก)


สำหรับราคาไก่ในประเทศปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 37 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปี 2561 เฉลี่ยอยู่ที่ 34.50 บาทต่อกิโลกรัม โดยคาดอัตรากำไรขั้นต้นไตรมาส 2/2562 อยู่ที่ 14% จากไตรมาสก่อนอยู่ที่ 13.5% เนื่องจาก ต้นทุนข้าวโพดอาหารสัตว์ลดลงจากข้าวโพดและกากถั่วเหลืองประมาณ 9% และ 7% ตามลำดับ


นอกจากนี้มองว่าบริษัทรับรู้กำไรจากบริษัทร่วมทุน GFN, McKey อยู่ที่ 50 ล้านบาท จากไตรมาส 1/2561 ที่รับรู้ขาดทุน 45 ล้านบาท เนื่องจาก กำลังการผลิตเพิ่มไลน์ใหม่ของ McKey เพิ่มขึ้น และ GFN เริ่มกลับมาเป็นกำไรจากราคาไก่ที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยบริษัทวางแผนการส่งออกปี 2562 เพิ่มขึ้น 10-15% หรืออยู่ที่ 33,000 ตัน ซึ่งยอดส่งออกเพิ่มขึ้นไปที่จีนเป็นหลัก ในขณะที่ญี่ปุ่นและยุโรปทรงตัว


ดังนั้นยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2562-2563 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 19% ต่อปี โดยคาดว่าปี 2562 จะมีกำไรสุทธิ 1,328 ล้านบาท เติบโต 28% จากปี 2561 ที่มีกำไรสุทธิ 1,038 ล้านบาท และคาดว่าปี 2563 กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 1,458 ล้านบาท เติบโตอีก 10% จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายใหม่เป็นปี 2563 อยู่ที่ 18.60 บาท จากเดิม 16.50 บาท


“ราคาสินค้าเพิ่ม ส่วนต้นทุนลดลง หุ้นอาหารคงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับนักลงทุนไม่ใช่น้อย โดยรวมแล้ว กูรูคาดไตรมาส
2 ทาง GFPT จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 281 ล้านบาท เติบโต 33% ส่วน TFG คาดกำไรที่ 402 ล้านบาทเติบโต 20.7% เราคงต้องมาลุ้นกันว่า จากผลบวกทั้งหมดนั้น จะหนุนให้ผลงานทั้ง 2 บริษัทเป็นอย่างไรกันบ้าง”