บลจ.กสิกรไทย’ มองหุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว คาดตลาดยังคงผันผวน...พร้อมคงเป้าที่ 1,750 จุดพร้อมคงเป้าที่ 1,750 จุด
>>
“หุ้นไทย” ปีหมู…ไม่หมูอย่างที่คิด คาดตลาดยังคงผันผวน แนะรับมือด้วย ‘หุ้นปันผลสูง-กำไรมั่นคง-โตได้แม้เศรษฐกิจชะลอตัว’ ด้าน ‘บลจ.วรรณ’ ให้เป้าสิ้นปี 1,723 จุด ส่วน ‘บลจ.กสิกรไทย’ มองหุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว พร้อมคงเป้าที่ 1,750 จุด มั่นใจพื้นฐานในประเทศยังแกร่ง ตลาดหุ้นถูก แม้ปัจจัยต่างประเทศมีความไม่แน่นอนสูง
“ตลาดหุ้นไทย” ในปี2018 เป็นปีที่ตลาดผันผวนและผิดคาดเอามากๆ เพราะท้ายสุดแล้วเป้าหมายที่มองกันไว้ในช่วงต้นปีของค่ายสำนักต่างๆ ล้วนพลาดเป้าไปตามๆกัน ปิดดัชนีสิ้นปีที่ระดับ 1,563.88 จุด ผลตอบแทนรวมตลาดหุ้นไทย(SET TRI) ทั้งปีติดลบ 8.1% เมื่อก้าวเข้าสู่ “ปีหมู-2019” เช่นนี้ การลงทุนอาจไม่ได้หมูอย่างชื่อปีก็เป็นได้ นักลงทุนต้องตั้งสติก่อนจะลุยตลาดหุ้นไทยกันอีกครั้ง ซึ่งเป้าหมายตลาดหุ้นไทยในปีนี้ที่ตลาดมอง ณ ปัจจุบัน ก็เฉลี่ย 1,750 จุด บวกลบ โอกาสในขาขึ้นยังมีอีกประมาณ 100 จุด หรือประมาณ 6% จากระดับปัจจุบันที่ 1,650 จุด
พจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ จำกัด มองว่า บริษัทยังคงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในปีนี้ โดยตั้งเป้าหมายดัชนีของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ระดับ 1,723 จุด จากปัจจัยบวกด้านเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังมีทิศทางที่ดีประกอบกับยังได้รับแรงสนับสนุนจากการบริโภคและการฟื้นตัวภายในประเทศมาช่วยชดเชยการเติบโตที่ชะลอตัวจากภาคการส่งออก ซึ่งได้รับผลกระทบจากสงครามทางการค้าและการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน
ตลาดหุ้นไทยปีนี้ นับว่ายังมีทิศทางที่ดีจากปัจจัยภายในประเทศที่มีความชัดเจนขึ้นต่อเนื่อง เช่น การเลือกตั้งภายในประเทศซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับการลงทุนและภาคเศรษฐกิจ การบริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัวได้ดีขึ้นแต่ยังอยู่ในลักษณะของการเติบโตแบบกระจุกตัว ภาคเอกชนที่เริ่มส่งสัญญาณที่ดีและเอื้อผลดีต่อการจ้างงานภาคเอกชน
“อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยนับว่าได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างประเทศพอสมควร เช่น สงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งกระทบภาคการส่งออกของไทย รวมถึงการลดลงของอัตรานักท่องเที่ยวจากจีน โดยปัจจัยดังกล่าวนับว่ามีผลต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปีนี้ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์อัตราเติบโตของ GDP ชะลอตัวลงอยู่ที่ประมาณ 4% จากปีก่อน 4.2% ซึ่งปัจจัยการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวและปัจจัยจากต่างประเทศที่ยังไม่แน่นอนโดยสามารถส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้มีความผันผวนได้ง่ายขึ้น”
พจน์ ยังบอกอีกว่า หากพิจารณาอัตราผลตอบแทนระหว่างตลาดหุ้นและพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Earning Yield Gap) พบว่าหุ้นที่อยู่ในดัชนี SETHD สามารถสร้างกระแสเงินสดจากอัตราเงินปันผลได้สูงในรอบ 3 ปีเฉลี่ยประมาณ 5% ขณะที่ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 2.5% บ่งชี้ได้ว่า ‘หุ้นที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงยังน่าสนใจ’ และสามารถชดเชยความผันผวนของราคาหุ้นในปีนี้ บริษัทจึงนำเสนอ ‘กองทุนเปิด วรรณ เซ็ท ไฮ ดิวิเดนด์(ONE-SETHD)’ ขายในช่วง 31 ม.ค. – 15 ก.พ. โดยเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในปันผลสูง เพื่อลดการพึ่งพาผลตอบแทนจากราคาหุ้นในภาวะที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน โดย ‘กอง ONE-SETHD’ จะพิจารณาเลือกลงทุนในหุ้นที่อยู่ในดัชนี SET High Dividend 30 Total Return Index และเน้นการบริหารกองทุนแบบเชิงรุก (Active Fund)”
ด้าน ธิดาศิริ ศรีสมิต Chief Investment Officer บลจ.กสิกรไทย จำกัด มองว่า ตลาดหุ้นไทยน่าจะผ่าน ‘จุดต่ำสุด’ ไปแล้ว ในปี19 นี้ การลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังคงยากจากภาพตลาดที่จะยังมีความผันผวนได้ โดย ‘ปัจจัยบวกในประเทศ’ จะมาจากนโยบายภาครัฐจากเม็ดเงินลงทุนและการใช้จ่ายภาครัฐเร่งตัวขึ้นในปี 2019 มีผลบวกต่อกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศ การบริโภคภาคเอกชนน่าจะยังคงทรงตัวได้จากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ ตลอดจนความชัดเจนในการกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในปี 2019 ส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุน ในขณะที่ ‘ปัจจัยต่างประเทศ’ เองนั้นยังเป็นปัจจัยลบและมีความไม่แน่นอนที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นได้ อย่างไรก็ตามท่าทีของประธานเฟดล่าสุดที่มีความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายการเงินของสหรัฐ น่าจะช่วยสนับสนุนตลาดได้ถ้าเศรษฐกิจชะลอตัวลง
ส่วนปัจจัยที่ยังมีความไม่แน่นอนนั้นเป็นเรื่องการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน อาจกระทบการค้าและการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ตลอดจนราคาน้ำมันอาจจะ Rebound ได้หลังจากปรับตัวลงมาแรง เหล่านี้ยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ยังมี ‘ปัจจัยเฉพาะของตลาดหุ้น’ เองด้วย ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต เมื่อเทียบกับทั้ง P/E Ratio และพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ตลาดหุ้นยังคงมีความน่าสนใจเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยไทยที่ยังคงทรงตัวอยู่ ระดับต่ำและสภาพคล่องในประเทศที่อยู่ในระดับสูง
การคาดการณ์การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในปี2019 ที่ประมาณ 5-6% อย่างไรก็ดีคงขึ้นอยู่กับระดับราคาน้ำมันด้วย
“บริษัทยังมีมุมมองเชิงบวกในระยะกลางต่อตลาดหุ้นไทย ด้วยมีเป้าหมายกัชนีสิ้นปี 2019 ที่ 1,750 จุด (PER 15.6 เท่า) โดยเน้นหุ้นที่มีกำไรมีความมั่นคง (Defensive) และหุ้นที่สามารถเติบโตได้ในสถาวะที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว เนื่องจากความเสี่ยงต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกมีสูงนั่นเอง”
แม้ตลาดหุ้นใน ‘ระยะสั้น’ อาจจะมีความผันผวนเป็นปกติก็ตาม แต่ด้วยพื้นฐานและปัจจัยภายในประเทศไทยที่ยังแข็งแกร่ง จึงเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุน ‘ระยะยาว’ ในการเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้เป็นอย่างดี
ศึกษารายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.kasikornasset.com/th