นางพฤฒิพร เนติโพธิ์ อธิบดีอัยการสำนักงานที่ปรึกษากฎหมาย เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ว่า ได้เจรจาในประเด็นที่มีรายละเอียดมากและยากไปแล้ว และทางคณะอนุกรรมการคัดเลือกฯ จะนำข้อสรุปทั้งหมดที่ผ่านการเจรจามา 3 ครั้ง เสนอต่อคณะกรรมการคัดเลือกชุดใหญ่ในวันที่ 22 ก.พ.นี้
ทั้งนี้ ยืนยันว่าคณะกรรมการฯ ไม่สามารถรับเงื่อนไขเจรจาที่อยู่นอกเหนือร่างขอบเขตการประกวดราคา (ทีโออาร์) และต้องบรรลุข้อตกลง ร่วมกันทั้งสองฝ่าย ดังนั้นคณะกรรมการคัดเลือกชุดใหญ่จึงจะมีการประชุม และเจรจากับกลุ่มซีพีอีกครั้ง ในฐานะผู้ที่เสนอราคาต่ำสุด โดยบาง ข้อเสนอของคู่เจรจานั้นคณะกรรมการสามารถรับไว้พิจารณาได้ โดยเอกชน ต้องกลับไปปรับเปลี่ยนเงื่อนไขไม่ให้กระทบขัดกับกรอบข้อเสนอโครงการ (RFP)
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 22 ก.พ.นี้ จะสามารถสรุปทิศทางการดำเนินการต่อไปได้ ส่วนแนวโน้มนั้นขึ้นอยู่ข้อเสนอที่ขัดต่อ RFP ทางเอกชนจะยอมปรับเปลี่ยนหรือไม่ ซึ่งทางเอกชนได้ขอกลับไปปรึกษากลุ่มพันธมิตรก่อน เนื่องจากมีพันธมิตรหลายบริษัทและเงินทุนในการดำเนินการสูง จึงต้องใช้ระยะเวลาในการพิจารณา
นายชาญชัย โพธิ์ทองคำ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (สร.กทพ.) กล่าวว่า ขอให้กทพ.ทบทวนแนวทางการขยายสัมปทานทางด่วนให้เอกชนเพื่อชำระค่าชดเชย 4,000 ล้านบาท เพราะอาจส่งผลกระทบต่อองค์กรในระยะยาว โดยขอเสนอให้ กทพ.นำเงินในกองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ (ทีเอฟเอฟ) ไปชำระค่าชดเชยดังกล่าวแทน แล้วให้ กทพ.หาแนวทางชำระคืนให้กับกองทุนในภายหลัง เพราะเป็นแนวทางที่เหมาะสมต่อการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
แหล่งข่าวจาก กทพ. ระบุว่า การนำเงินกองทุนทีเอฟเอฟไปชำระค่าชดเชยทางด่วนคงเป็นไปได้ยากและอาจผิดวัตถุประสงค์ของการระดมทุนทีเอฟเอฟเพื่อนำไปก่อสร้างทางด่วน 2 สาย แล้วนำรายได้มาปันผลตอบแทนให้กับผู้ถือไม่ใช่การระดมทุนไปเพื่อชำระหนี้ที่ไม่สามารถสร้างรายได้ในอนาคต หรือถ้าหากจะทำนั้นมีขั้นตอนที่ยุ่งยากมาก ทั้งการเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขอความเห็นชอบ
