“บลจ.ไทยพาณิชย์”...ลั่นปี19 ยังให้ความสำคัญลูกค้าเป็นอับดับ 1

>>

“บลจ.ไทยพาณิชย์”...ลั่นปี19 ยังให้ความสำคัญลูกค้าเป็นอับดับ 1 มุ่งต่อยอดเทคโนโลยี AI เพิ่มศักยภาพการลงทุน พร้อมลุยดิจิทัลแพลตฟอร์มบริการลูกค้าครบวงจร ตั้งเป้าปีนี้ผู้ใช้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลแตะ 400,000 ราย

นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ปี2019 บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการเป็น ‘บลจ.ที่ได้รับความไว้วางใจสูงสุด (The Most Trusted Asset Management Company)’ โดยวางนโยบายให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นลำดับแรก ผ่านแนวทางการปฏิบัติให้เกิดประสิทธิภาพ ได้แก่

  • การบริหารกองทุนให้มีผลการดำเนินงานที่ดี
  • การบริการและพัฒนาประสบการณ์ที่ดีของลูกค้าต่อบลจ.
  • การคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง  เพื่อประโยชน์สูงสุดของลูกค้า


นายณรงค์ศักดิ์
ยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทมีกองทุนที่บริหารจัดการครอบคลุมทุกประเภทสินทรัพย์ เน้นการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพผสานกับกระบวนการลงทุนแบบเชิงรุก (Active) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากการบริหารกองทุน ปัจจุบันกองทุนของบริษัทได้ Morningstar 4 - 5 ดาว กว่า 20 กองทุน ทั้ง ‘กองทุนไทย’ และ ‘ต่างประเทศ’ ในทุกประเภทสินทรัพย์ ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และผสม


( ณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย )


นอกจากนี้กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ได้คัดเลือกกองทุนต่างประเทศที่มีคุณภาพและเกือบทุกกองทุนที่เลือกลงทุนได้รับการจัดอันดับ Morningstar ในระดับ 4 - 5 ดาวเช่นกัน โดยบริษัทฯ มีการติดตามดูแลกองทุนต่างประเทศอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาคุณภาพของกองทุนที่คัดเลือกมาให้ผู้ลงทุน

“ทั้งนี้ บริษัทยังมุ่งสู่การเป็น ผู้นำด้านดิจิทัล ด้วยการต่อยอดนำระบบ AI  และ Machine Learning  มาขยายการลงทุนไปทั่วโลก รวมถึงนำมาใช้กับการลงทุนใน FX, ตราสารหนี้ ตลอดจนนำมาใช้ในการจัดสรรสินทรัพย์ และการทำ Market Timing โดยปัจจุบันบริษัทได้เริ่มนำระบบการประมวลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing :NLP) เข้ามาใช้ประมวลผลข้อมูลที่เป็นข้อความ (text data) จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อพิจารณาเลือกหุ้นที่จะลงทุนซึ่งมีความแม่นยำค่อนข้างสูง”

สินทรัพย์สุทธิ "บลจ.ไทยพาณิชย์" ณ ม.ค. 2019

  สินทรัพย์สุทธิ
(ล้านบาท)
ส่วนแบ่งการตลาด (%) อันดับ
กองทุนส่วนบุคคล 423,847.82 42.70 1
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 116,487.37 10.27 4
กองทุนรวม 962,359.97 18.66 2
รวม 1,502,695.16 20.63 1

ที่มา : www.aimc.or.th

นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวเสริมว่า ปีที่ผ่านมาเราได้ทดลองนำข้อมูลข่าวสารและบทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ซึ่งมีเข้ามาเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน โดยการแปลงให้เป็น sentiment score เพื่อใช้เลือกหุ้นที่จะลงทุนซึ่งเมื่อทดลองแล้วเห็นผลที่ค่อนข้างแม่นยำ

จึงมีแผนจะขยายการนำข้อมูล text จากแหล่งข้อมูลอื่น ๆ มาใช้เพิ่มขึ้น เช่น ข้อมูลจาก social media FB, twitter, หรือการค้นหาคำใน google เพื่อเพิ่มความแม่นยำให้กับ factor ของกองทุนให้มากขึ้น

นอกจากนี้ ยังได้วางเป้าหมายให้บริษัทเป็น องค์กรแห่งการเรียนรู้ ด้วยการเร่งพัฒนา SCBAM Digital Platform เพื่อนำเสนอบริการและให้ข้อมูลข่าวสารความรู้กับลูกค้าได้อย่างครบวงจร ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน ครอบคลุม เช่น SCBSETE ซึ่งเป็นกองทุนฟรีค่าธรรมเนียมเสนอขายผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้น เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าใหม่ผ่านทางดิจิทัล

สำหรับ ‘SCBAM Line Official’ พร้อม Chatbot ยังเป็นช่องทางการสื่อสารตรงถึงลูกค้าผ่านออนไลน์แชทสำหรับให้ลูกค้าสอบถามข้อมูลกองทุนต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว พร้อมข้อมูลอัพเดทต่าง ๆ อย่างทันสถานการณ์ และ ‘SCBAM website’ โฉมใหม่ที่มีการวางแผนการลงทุนเฉพาะบุคคล สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่อาจเพิ่งเริ่มลงทุน รวมทั้งการให้ข้อมูลข่าวสารความรู้ผ่าน Social Media เช่น Facebook และ YouTube 

“ทั้งนี้ การขยายฐานลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัล ไม่ได้ทำเพียงเฉพาะช่องทาง SCB และ SCBAM เท่านั้น แต่รวมถึงตัวแทนขายต่าง ๆ ด้วยที่บริษัทได้จับมือกับตัวแทนขายใหม่ๆ ที่เป็นออนไลน์แพลตฟอร์ม โดยคาดบรรลุเป้าหมายผู้ใช้บริการผ่านช่องทางดิจิทัล 400,000 รายในปีนี้”

นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าสถาบันทั้งกองทุนส่วนบุคคล และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอย่างต่อเนื่อง สำหรับการบริหารพอร์ตการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะพอร์ตตราสารหนี้ที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ

ด้านนางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส รองกรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ จำกัด มองภาพรวมการลงทุนปี2019 ว่า ตลาดจะมีความผันผวนลักษณะใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ทำให้นักลงทุนสามารถหาจังหวะทำกำไรจากตลาดหุ้นได้

โดยตั้งแต่ต้นปีนี้ตลาดหุ้นทั้งตลาดพัฒนาแล้ว และตลาดเกิดใหม่ ต่างก็ให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นไทยบวก 5% หุ้นโลกบวกกว่า 10%  แตกต่างกันกับช่วงปลายปีที่แล้วที่เกือบทุกตลาดติดลบ จะมีแค่คนที่ถือเงินสดกับทองคำที่เป็นบวก

( นันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส )


“สาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นโลกจากปรับตัวลง 10% กว่าในปลายปี 2018 มาเป็นบวก 10% กว่าในปี2019 นี้เป็นเพราะประเด็นความเสี่ยงที่ตลาดเคยกังวลว่าอาจจะทำให้เศรษฐกิจชะงักลงมีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ยังมีเรื่องท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed)  ที่ดูผ่อนปรนมากขึ้นจากการใช้นโยบายการเงิน จากที่ขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีที่แล้ว และมีส่งสัญญาณใน dot-plot จะขึ้นอีก 3 ครั้งในปี2019 (เดือนก.ย.) แต่เดือนธ.ค.กลับกลายปรับลงเหลือ 2 ครั้ง และในการประชุมครั้งล่าสุดเริ่มมีการพูดถึงการหยุดลดขนาด Balance Sheet” 

ไม่เพียงแต่ทาง Fed ยังมีธนาคารกลางยุโรปด้วยที่เริ่มมีการพูดถึงโอกาสที่จะทำโปรแกรมอัดฉีดเงินอีก (LTRO) รวมถึงความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ดูใกล้จะหาข้อตกลงกันได้

ซึ่งการที่รัฐบาลจีนมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพื่อพยุงเศรฐกิจที่ชะลอตัวลง ทั้งการปรับลดอัตราส่วนเงินฝากขั้นต่ำที่ธนาคารพาณิชย์สำรองต้องกันสำรอง (Required Reserve Ratio : RRR)  1% และเพิ่งประกาศปรับลดภาษีมูลค่าเพิ่มกว่า 2 ล้านล้านหยวน

“เหล่านี้เป็นตัวหนุนตลาดที่ผ่านมา บริษัทยังมองว่าการที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมาด้วยความคาดหวังเหล่านี้ที่อาจจะดูสวนทางกับตัวเลขเศรษฐกิจโลกที่ทยอยออกมาไม่ดี โดยดูจากตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อภาคการผลิต (Manufacturing PMI) ที่ออกมาทั้งจากสหรัฐ ยุโรป และจีน ก็ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ (จีนและยุโรปต่ำกว่า 50 หมายถึงเศรษฐกิจชะลอตัว)

รวมถึงการปรับผลกำไรคาดการณ์ของบริษัทจดทะเบียนลง จะส่งผลให้ตลาดมีโอกาสผันผวนได้ถ้ายังไม่เห็นสัญญาณตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้น สำหรับมูลค่าพื้นฐาน (Valuation) ตลาดส่วนใหญ่กลับมาที่จุดระดับค่าเฉลี่ยไม่ได้ถูกไม่ได้แพงจนเกินไป จะมีเพียงตลาดจีน และไทยที่เห็นว่ามีความน่าสนใจเนื่องจากซื้อขายที่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PE 15.5 เท่า  และจีนเองก็มีมาตการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล ในขณะที่ไทยจะมีความชัดเจนจากการเลือกตั้ง”