“บลจ. ยูโอบี”...ตั้งเป้า AUM ปี19 โต 15% ลั่น ‘ขอเป็นบลจ.ที่ลูกค้าคิดถึงและอยากลงทุนด้วย’ พร้อมเดินหน้าพัตนานวัตกรรมใหม่ตอบรับโลกดิจิตอล ทั้ง ‘การลงทุน&บริการ’ ให้น้ำหนักหุ้นไทยเท่าตลาด มองเป้าดัชนีสิ้นปี 1,750 จุด แนะกระจายลงทุนในกลยุทธ์ทางเลือกเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า สิ้นปี18 บริษัทมีสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) 210,000 ล้านบาท ในปี19 นี้ บริษัทตั้งเป้าการเติบโตเพิ่มขึ้น 15% โดยเราต้องการจะเป็นบลจ.ที่นักลงทุนคิดถึงและอยากจะลงทุนด้วย
ซึ่งเราต้องมี AUM เติบโตเพื่อทำให้ลูกค้ามั่นใจ ตลอดจนการสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอให้ติดอยู่ในควอไทล์ที่1 รวมถึงการควบคุมความเสี่ยงทั้งด้านการลงทุนและการบริหารจัดการบริษัทตามมาตรฐานของกลุ่มยูโอบีซึ่งมีความเข้มข้นในเรื่องนี้อยู่แล้ว
บริษัทยังคงนำเสนอทางเลือกการลงทุนที่เหมาะสมกับภาวะตลาดและสอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุน ด้วยการใช้ความเชี่ยวชาญ การสนับสนุนจากเครือข่ายในภูมิภาค รวมไปถึงการจับมือกับเครือข่ายพันธมิตรทั่วโลก เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนที่หลากหลายสำหรับนักลงทุน
“ปีนี้ บริษัทมุ่งเน้นการพัฒนาแนวทางนวัตกรรมดิจิตอลเพื่อให้สอดคล้องกับโลกยุคดิจิตอลที่มีการเคลื่อนไหว Wealth Management อย่างไม่หยุดยั้ง โดยมีการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาในกระบวนการบริหารการลงทุน เพื่อให้ผู้จัดการกองทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลการลงทุนเชิงวิเคราะห์ได้อย่างเจาะลึกและแม่นยำ เพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องมือที่ช่วยในการบริหารการลงทุน นำไปสู่กระบวนการสร้างผลการดำเนินงานของกองทุนที่ดี
ซึ่งถือหนึ่งในเป้าหมายสำคัญปี2019 นี้ โดยเราใช้ Big Data มาเป็นข้อมูลให้กับผู้จัดการกองทุนในการตัดสินใจ เช่น
- มีการประมวลผลข้อมูลของหุ้นทั้งตลาด (SET+MAI) ภายใต้เงื่อนไขต่างๆ ซึ่งในแต่ละวันก็จะมีการแจ้งเตือนว่าหุ้นตัวไหนน่าสนใจหรือไม่น่าสนใจ
- การประมวลผลเพื่อดูว่าหุ้นในดัชนีSET50 ตัวไหนมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นหรือปรับตัวลง เป็นต้น”
นายวนา ยังกล่าวอีกว่า ด้านบริการบริษัทให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องกับการคิดค้นและพัฒนาบริการออนไลน์ ในปีก่อนได้เปิดตัว Mobile application “UOBAM INVEST” ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักลงทุนในการสมัครใช้บริการ อีกทั้งยังได้รับรางวัล “Best Wealth Management Platform” จาก Asia Asset Management ที่มองว่าเป็น mobile application
ด้านการลงทุนที่เอื้อประโยชน์ให้แก่นักลงทุน ในปี19 นี้ บริษัทยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยชูบริการการทำธุรกรรมออนไลน์ หรือ “Premier Online” ซึ่งนักลงทุนจะได้รับความสะดวกมากขึ้นจากขั้นตอนการสมัครใช้บริการและการใช้บริการซื้อขายหน่วยลงทุน
นอกจากนี้บริษัทยังเล็งเห็นความสำคัญของการจัดสรรพอร์ตการลงทุนเพื่อตอบโจทย์การลงทุนระยะยาวของนักลงทุนแต่ละท่าน โดยได้นำเสนอบริการ “Premier Advice” ซึ่งเป็นบริการช่วยจัดพอร์ตการลงทุนออนไลน์ ผ่านขั้นตอนง่ายๆ เพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับได้
“ในอนาคตอันใกล้นี้ บริษัทจะเปิดบริการช่องทางการรับชำระค่าซื้อหน่วยลงทุนผ่านระบบ QR Code ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะสร้างความสะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้นในการชำระค่าซื้อหน่วยลงทุน โดยมีแผนการจะเปิดให้บริการในไตรมาสที่2/19 นี้”
นายวจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์และสื่อสารองค์กร บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงแนวโน้มการลงทุนในปี19 ว่า ความเสี่ยงในการลงทุนจะเพิ่มสูงขึ้น การกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภทจึงมีความสำคัญ โดยควรเน้นเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้และหุ้นที่มีคุณภาพสูง หรือเลือกลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ เพื่อสามารถกระจายความเสี่ยงได้มากขึ้น และมีโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอในภาวะตลาดผันผวนได้
ในปีนี้คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยหรือขึ้น 1 ครั้งถ้าจะขึ้น ซึ่งทำให้มีผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้ในปีนี้น้อยลงและผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ในปีนี้ก็น่าจะกลับสู่ภาวะปกติที่สมเหตุสมผล ในขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายของไทยเองคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) ไม่น่าจะขึ้นดอกเบี้ยหรือถ้าจะขึ้นก็ขึ้น 1 ครั้ง
สำหรับตลาดหุ้นไทยกลุ่มยูโอบีให้น้ำหนักการลงทุนเท่าตลาด (Neutral) โดยมองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้ที่ 1,750 จุด กำไรบริษัทจดทะเบียนโตประมาณ 7 – 8% โดยไม่คิดว่าเม็ดเงินลงทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาในไทยหลังเลือกตั้งอย่างมีนัยสำคัญแต่ประการใด ถ้าจะกลับน่าจะไหลไปจีนที่มีความน่าสนใจมากกว่า
“บริษัทยังให้น้ำหนักการลงทุนมากกว่าตลาด (Overweight) การลงทุนในกลยุทธ์ทางเลือก เช่น Absolute Return หรือ Beta Neutral หรือ Long-Short Strategy ที่ไม่มีความสัมพันธ์กับสินทรัพย์เช่นหุ้นหรือตราสารหนี้ รวมถึงกลุ่มกองทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อโอกาสในการรับอัตราผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาวด้วยเช่นกัน”
นางสาวรัชดา ตั้งหะรัฐ ประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้คัดสรรกองทุน 5 กองทุน เพื่อครอบคลุมโอกาสการลงทุนที่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ดังนี้
- ‘กองทุนเปิด ไทย ตราสารหนี้ (TFIF)’ เน้นลงทุนในตราสารหนี้และ/หรือเงินฝากทั้งภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และ/หรือภาคเอกชน ที่มีความมั่นคงและสภาพคล่องสูงเป็นหลัก
- ‘กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ (UGIS)’ เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ ‘PIMCO GIS Income Fund (Class I)’ เพียงกองทุนเดียว เหมาะสำหรับนักลงทุนที่แสวงหาโอกาสรับรายได้แบบสม่ำเสมอ และลดความเสี่ยงจากปัจจัยดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลง
- ‘กองทุนเปิด ยูไนเต็ด เฟล็กซิเบิ้ล อินคัม ฟันด์ (UFIN)’ เน้นลงทุนในหลักทรัพย์และทรัพย์สินทั้งในและต่างประเทศ โดยกระจายการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
- ‘กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินโนเวชั่น ฟันด์ (UNI)’ เน้นลงทุนในตราสารทุนต่างประเทศที่ออกโดยบริษัททั่วโลก รวมถึงประเทศในตลาดเกิดใหม่ โดยเป็นตราสารทุนของบริษัทที่เกี่ยวข้องหรือได้รับผลประโยชน์จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมและหรือเทคโนโลยีใหม่ โดยบริษัทให้ ‘UOB Asset Management (Singapore) Limited’ เป็นผู้รับดำเนินการลงทุนในต่างประเทศของกองทุน (outsource) ซึ่งยูโอบี (สิงคโปร์) อาจมอบหมายให้ Wellington Management Company เป็นผู้รับดำเนินการช่วงการลงทุนต่อในบางส่วนหรือทั้งหมด
-
‘กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ออล ไชน่า อิควิตี้ ฟันด์ (UCHINA)’ ลงทุนในกอง ‘UBS (LUX) Equity SICAV- All China USD (Class I-A1-acc)’ เพียงกองทุนเดียว มีจุดเด่นคือเน้นลงทุนในหุ้นบริษัทจีนทั้งในตลาด Onshore และ Offshore เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้จัดการกองทุนสามารถเลือกหุ้นได้อย่างเหมาะสม