นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) เปิดเผยว่า การคัดเลือกเอกชนรายเดียวเข้ามาบริหารร้านค้าปลอดภาษี (ดิวตี้ฟรี) ภายในสนามบินทั้ง 4 แห่ง นั้นเนื่องจากต้องรองรับความเสี่ยงขาดทุนในบางสนามบิน เพราะสัดส่วนรายได้หลักของดิวตี้ฟรีอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ คิดเป็น 82% ของทั้งหมด
ขณะที่สนามบินหาดใหญ่มีสัดส่วนรายได้เพียง 0.04% ของทั้งหมด ส่วนรายได้ของสนามบินภูเก็ตคิดเป็นสัดส่วน 13% หรืออยู่ที่วันละ 10 ล้านบาท คิดเป็นปีละ 3,650 ล้านบาท ด้านรายได้ของสนามบินเชียงใหม่อยู่ที่ 4-5% จากทั้งหมด
“หนึ่งในเกณฑ์ตัดสินที่มีน้ำหนักคะแนนค่อนข้างมาก คือเรื่องของผลประโยชน์ด้าน Minimum Guaruntee ถ้าเขาขายไม่ดีไม่เกี่ยวกับเรา แต่พอมีรายได้มากก็ขอเพิ่มส่วนแบ่งรายได้และ Minimum Guarantee ดังนั้นใครเสนอส่วนแบ่งรายได้จากการขายให้สูงสุดก็จะเป็นผู้ชนะไป” นายนิตินัย กล่าว
แหล่งข่าวจาก ทอท. เปิดเผยว่า การคัดเลือกเอกชนเข้ามาบริหารดิวตี้ฟรีในครั้งนี้ ทอท.เลือกมองผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ รวมถึงภาพลักษณ์เรื่องการท่องเที่ยว จึงตัดสินใจใช้เกณฑ์ประมูลที่สูงเพื่อคัดเลือกเอกชนซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในการบริหารดิวตี้ฟรีภายในสนามบิน จำเป็นต้องมีประสบการณ์และพันธมิตรทางการค้าที่แน่นอนเพื่อรองรับการบริโภคสินค้าปลอดภาษีซึ่งเติบโตขึ้นทุกปี
นอกจากนี้ ปัจจุบันนักท่องเที่ยวเปรียบเทียบคุณภาพบริการและสินค้าของ ดิวตี้ฟรีเป็นรายประเทศ เช่น สนามบินสุวรรณภูมิกับสนามบินชางงีของสิงคโปร์ หากความหลากหลายและราคาของสินค้าด้อยกว่า มีโอกาสที่ลูกค้าจะหันไปใช้บริการในประเทศอื่น จะส่งผลกระทบต่อรายได้เชิงพาณิชย์ของสนามบินในภาพรวม
อย่างไรก็ตาม การคัดเลือกเอกชนรายใหญ่เข้ามาบริหารเพียงรายเดียวส่งผลดีตรงศักยภาพในการนำสินค้าที่หลากหลาย รวมถึงแบรนด์เนมเข้ามาในทั้ง 4 สนามบิน ตลอดจนรองรับความเสี่ยงในการขาดทุนของบางสนามบิน เนื่องจากสัดส่วนรายได้หลักนั้นจะอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ