ทั้งนี้ สาระสำคัญของกฎหมายกำหนดให้สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน สถาบันการเงินของรัฐที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น และผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ตามกฎหมายว่าด้วยระบบการชำระเงิน จะต้องส่งข้อมูลรายงาน
- การฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 3,000 ครั้ง/ปี/ธนาคาร
- การฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 400 ครั้ง/ปี/ธนาคาร
- ยอดรวมของการรับฝากตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป
โดยกำหนดให้รายงานข้อมูลดังกล่าวให้กับกรมสรรพากร ครั้งแรกภายในวันที่ 31 มี.ค. 2563
ทั้งนี้ การรายงานความถี่การทำธุรกรรมการเงินอาจจะเพิ่มขึ้นได้อีก ตามการกำหนดของกระทรวงการคลัง และให้กรมสรรพากรมีหน้าที่จัดเก็บข้อมูล ไม่เกิน 10 ปีนับแต่วันที่กรมสรรพากรได้รับข้อมูล
นอกจากนี้ กฎหมายได้กำหนดว่า หากผู้มีหน้าที่รายงานไม่ปฏิบัติตาม อธิบดี กรมสรรพากรมีอำนาจลงโทษปรับไม่เกิน 1 แสนบาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 1 หมื่นบาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
พร้อมทั้งปรับปรุงอัตราโทษสำหรับกรณีเจ้าพนักงานเปิดเผยข้อมูลของ ผู้เสียภาษีอากรหรือของผู้อื่นที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยหากฝ่าฝืนจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สำหรับวัตถุประสงค์การจัดทำกฎหมายดังกล่าว เพื่อรองรับระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็ก ทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment Master Plan) ที่ได้กำหนดให้นำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้กับการดำเนินการของภาครัฐ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน ซึ่งรวมถึงการรับชำระภาษี