นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก บมจ. เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย หรือ JKN ผู้นำการจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ระดับสากล ที่นำคอนเทนต์จากทั่วโลกมาสู่ประเทศไทย และนำคอนเทนต์จากไทยเผยแพร่ไปสู่ทั่วโลก โดยเป็นบริษัทแรกและบริษัทเดียวที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ด้วยทุนจดทะเบียนปัจจุบันอยู่ที่ 270 ล้านบาท
ย้อนเส้นทางความสำเร็จ
จุดเริ่มต้นธุรกิจ JKN มาจากร้านเช่าวิดิโอ ก่อนยุคอุตสาหกรรมโทรทัศน์ในประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลังรัฐบาลเปิดประมูลใบอนุญาตประกอบธุรกิจสถานีโทรทัศน์ระบบดิจิตอล ซึ่ง ‘คุณจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มองเห็นโอกาสเติบโตธุรกิจจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ จึงเริ่มทำธุรกิจจำหน่ายลิขสิทธิ์ตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา ก่อนจะขยายธุรกิจจนเติบใหญ่และนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในปี 2560 ในวันที่ 30 พ.ย.60 และกลายเป็นผู้นำการจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ระดับสากลในปัจจุบัน
ปี 2561 เป็นปีที่ JKN รุกหนักกับการขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ด้วยการบุกเปิดตลาดในอาเซียน ด้วยการนำคอนเทนต์ซีรี่ส์อินเดียและฟิลิปปินส์ ที่เป็นกระแสยอดฮิตในบ้านเราไปขายยังต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเมียนมา ลาวและกัมพูชา ซึ่งประสบความสำเร็จ ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสื่อ
ขณะที่ตลาดในประเทศ JKN ยังสามารถนำจุดแข็งด้านลิขสิทธิ์คอนเทนต์ที่หลากหลายทั้ง 8 กลุ่มมาจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ให้กับช่องทีวีดิจิทัลได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ และยังเป็นจังหวะที่ดีในการขยายช่องทางเผยแพร่ไปยัง VOD หรือ Video On Demand ที่มีสัญญาณเติบโตที่ดีจากพฤติกรรมการรับชมผ่านจอมือถืออีกด้วย ส่งผลให้ปีที่ผ่านมาทำกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 21.3% หรือทำได้ 227.7 ล้านบาท
เป้าหมายใหญ่..ย้ายเข้า SET
JKN มีเป้าหมายใหญ่ คือ การย้ายเข้าจดทะเบียนในตลาด SET ในปี 2563 ดังนั้นปี 2562 จึงเป็นช่วงเวลาแห่งการสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน ด้วยการผลักดันผลการดำเนินงานให้เติบโต 20% ตามแผน ด้วยการนำซีรี่ส์อินเดีย-ฟิลิปปินส์ รวมถึงลิขสิทธิ์คอนเทนต์ละครจากสถานีช่อง 3 ไปขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มเติม ทั้งเวียดนาม มาเลเซีย บรูไน และไต้หวัน หลังปีก่อนประสบความสำเร็จจากการขยายตลาดในเมียนมาร์ สปป.ลาวและกัมพูชามาแล้ว
ส่วนตลาดในประเทศ JKN ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนหลังจาก กสทช. มีแนวคิดออกมาตรการอุ้มทีวีดิจิทัล ช่วยให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนที่ลดลง และสามารถนำเงินมาซื้อคอนเทนต์ไปออกอากาศได้มากขึ้น เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับสถานี ซึ่งมีต้นทุนถูกกว่าการผลิตรายการเอง
และสิ่งที่ทำให้ JKN ก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์เอง ต้องยกให้กับการปั้นรายการข่าวจากการซื้อลิขสิทธิ์ของสถานี CNBC เพื่อออกอากาศภายใต้แบรนด์ JKN-CNBC โดยนำรายการข่าวเศรษฐกิจมาผลิตเป็นภาษไทย เพื่อป้อนให้แก่สถานีทีวีดิจิตอล ที่ดีเดย์เริ่มเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งได้มือเก๋าแห่งวงการข่าวอย่าง ‘สโรชา พรอุดมศักดิ์’ มานั่งเก้าอี้บริหาร โดยคัดเลือกรายการมาผลิตเป็นภาคภาษาไทย เช่น รายการ Squawk Box, รายการ Power Lunch, CNBC Conversation, Managing Thailand และรายการ First Class Thailand เป็นต้น
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่า JKN วางกลยุทธ์การเติบโตไว้ในหลายมิติ ซึ่งแต่และแผนงานจำเป็นต้องการบริหารจัดการด้านการเงินที่แข็งแรงเพื่อสนับสนุนแผนธุรกิจในปีนี้ ซึ่งก็ได้ ‘ธีรภัทร์ เพ็ชรโปรี’ รองกรรมการผู้จัดการสายงานการเงินและบัญชี (Chief Finance Officer) บมจ. เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย อีกหนึ่งหัวเรือใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังการบริหารจัดการด้านการเงินของ JKN
ด้วยงบลงทุนในปีนี้ประมาณ 900 ล้านบาท แบ่งเป็นการซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์เพิ่มเติมรองรับการขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศทุกแพลตฟอร์ม โดยเน้นหนักไปที่คอนเทนต์ซีรีส์อินเดีย-ฟิลิปปินส์ ประมาณ 800 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 100 ล้านบาท จะแบ่งเป็นการลงทุนเพื่อสร้างสตูดิโอและอุปกรณ์ใน JKN-CNBC และใช้ในลงทุนระบบเทคโนโลยีเพื่อพัฒนากระบวนการทำ Localization ของคอนเทนต์ และกระบวนการทำงานภายในองค์กร
(คุณธีรภัทร์ เพ็ชรโปรี)
อีกทั้ง JKN ยังอยู่ระหว่างการทำโปรเจกต์ "สยามรามเกียรติ์" ในปีนี้ เป็นการร่วมมือกันระหว่างทีมงานไทยและทีมงานผู้สร้างซีรีส์สีดาราม และได้หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล เป็นผู้กำกับ โดยนำ ‘รามเกียรติ์’ บทประพันธ์ในรัชกาลที่ 1 มาสร้างเป็นซีรีส์ฟอร์มยักษ์ คาดว่าจะถ่ายทำแล้วเสร็จสามารถออกอากาศได้ในปี 2563 ซึ่งทาง JKN ได้เตรียมการสำหรับเงินทุนหมุนเวียนที่จะใช้ในการลงทุนดังกล่าวแล้ว ดังนั้นจากแผนขยายตลาดและสร้างการเติบโต เมื่อถูกใช้ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการด้านการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ น่าจะทำให้รายได้ปี 2562 ของ JKN เติบโตตามเป้าหมาย และสามารถย้ายเข้า SET ในปี 2563 ได้ตามที่ตั้งใจ
ก้าวสู่ระดับโลกด้วย Regional Company
การย้ายเข้าตลาด SET ว่าเป็นมิชชั่นที่ใหญ่แล้ว แต่ JKN ไม่หยุดเพียงเท่านี้ กับการเดินหน้าสู่การนำบริษัทก้าวสู่การเป็น Regional Company โดย คุณธีรภัทร์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ภายใน 3-5 ปีต่อจากนี้ JKN ตั้งเป้าว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 50% เพื่อเตรียมจะก้าวไปสู่ Regional Company เพื่อเป็นศูนย์กลางรุกขยายตลาดในภูมิภาคเอเชียก่อนจะพัฒนาเข้าสู่ระดับโลก
“ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์มานาน รวมถึงแผนการขยายตลาดและมาร์เก็ตติ้งที่แข็งแกร่ง ประกอบการบริหารด้านการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่มั่นใจว่า JKN จะบรรลุเป้าหมาย ก้าวไปสู่การเป็นผู้นำคอนเทนต์ระดับโลกได้” คุณธีรภัทร์ กล่าวทิ้งท้าย