“กองตราสารหนี้”...หลังถูกเก็บ ‘ภาษี’
>> เวลาผ่านไปไวเหมือนติดปีก หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ไฟเขียวกับ ‘กฎหมายจัดเก็บภาษีเงินได้เกี่ยวกับการลงทุนในตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวม’ ตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง เมื่อ 28 ส.ค. 18 ที่ผ่านมานั้น โดยให้ระยะเวลาก่อนบังคับใช้จริงประมาณ 1 ปี ก็ประมาณกลางปี19 นี้ก็จะมีผลบังคับใช้กันแล้ว
เวลาผ่านไปไวเหมือนติดปีก หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ไฟเขียวกับ ‘กฎหมายจัดเก็บภาษีเงินได้เกี่ยวกับการลงทุนในตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวม’ ตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง เมื่อ 28 ส.ค. 18 ที่ผ่านมานั้น โดยให้ระยะเวลาก่อนบังคับใช้จริงประมาณ 1 ปี ก็ประมาณกลางปี19 นี้ก็จะมีผลบังคับใช้กันแล้ว
นี่คือการเปลี่ยนแปลงในกลุ่ม ‘กองทุนตราสารหนี้’ ที่นักลงทุนที่สนใจลงทุนควรจะรู้ แม้ในเชิงผลกระทบกับผู้ลงทุนอาจไม่ได้มีมากนักก็ตาม นอกจากผลตอบแทนที่อาจจะปรับลดลงไปบ้างนิดหน่อย (ถ้ากองทุนยังหาผลตอบแทนได้เท่าเดิมนะ)
แล้วผลกระทบจากกฎหมายใหม่นี้ต่อกลุ่ม ‘กองตราสารหนี้’ จะเป็นอย่างไร?
เก็บภาษีเฉพาะ... ‘ดอกเบี้ยรับ/ส่วนลด’ จากตราสารหนี้เท่านั้น
ผลของกฎหมายฉบับนี้ จะไปกระทบเหตุต้นทางของผลตอบแทนเป็นสำคัญ นั่นคือ ผลตอบแทนจากการลงทุนใน ‘ตราสารหนี้’ นั่นเอง ซึ่งปกติแล้วผลตอบแทนจะมาจาก 3 ส่วนใหญ่ๆ ด้วยกัน คือ
1.รายได้จากดอกเบี้ยรับ (Coupon)
2.รายได้จากส่วนลด (Discount)
3.รายได้จากกำไรจากการขาย (Capital Gain)
ในอดีตผลตอบแทนที่กองทุนได้รับจากการลงทุนในตราสารหนี้จะถูก ‘ยกเว้นภาษี’ ไม่ต้องเสียภาษีแต่ประการใด เพราะกองทุนรวม ‘ไม่ใช่หน่วยภาษี’ นั่นเอง จึงสามารถส่งผ่านผลตอบแทนมายังผู้ถือหน่วยลงทุนได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
“แต่ภายใต้กฎหมายใหม่นี้กำหนดให้ ‘กองทุนตราสารหนี้’ มีหน้าที่ ‘เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล’ เฉพาะในส่วนของรายได้ประเภทดอกเบี้ย ส่วนลด (Discount) และเงินได้ที่มีลักษณะเดียวกันกับดอกเบี้ย ในอัตรา 15% เป็นสำคัญโดยกำหนดให้ ‘ผู้จ่าย’ เป็นผู้หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และกองทุนรวมไม่ต้องมีภาระในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้อีก ยกเว้นกรณีที่ได้รับเงินได้ดังกล่าวจากต่างประเทศ”
ดังนั้น ผู้ลงทุนใน ‘กองทุนตราสารหนี้’ ก็ทำตัวตามปกติ เพราะผลตอบแทนที่จะส่งถึงมือผู้ถือหน่วยลงทุนนั้นเป็น ‘ผลตอบแทนสุทธิ’ เหมือนเดิมไม่ได้แตกต่างอะไรจากในอดีต ซึ่งอาจจะน้อยกว่า เท่าเดิม หรือมากกว่าในอดีตก็ได้เช่นกัน ขึ้นกับสภาวะตลาดตราสารหนี้ในขณะนั้นๆ ตลอดจนฝีไม้ลายมือของผู้จัดการกองทุนประกอบกันด้วย ดังนั้น ฝั่ง ‘ผู้ลงทุน’ คงไม่ต้องปรับตัวอะไรมากมายนัก
ส่วนฝั่ง ‘กองทุนรวม’ ที่ลงทุนในตราสารหนี้จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ลดลงจากการที่ต้องเสียภาษีเงินได้ 15% แต่จะนับเฉพาะตราสารหนี้ที่ ‘ลงทุนใหม่’ หลังกฎหมายบังคับใช้ไม่ได้มีผลย้อนหลังกับตราสารหนี้ที่ลงทุนไปก่อนหน้าที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้แต่ประการใด
“กองทุนไหน”...ได้รับผลกระทบบ้าง
สำหรับกลุ่ม ‘กองตราสารหนี้แบบมีอายุ (Term Fund)’ ผลกระทบจะดูง่ายสุด ถ้าเดิมกองทุนตราสารหนี้ 1 ปี ให้ผลตอบแทน 2.0% ต่อปี ถ้าตั้งหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ผลตอบแทนก็จะเหลือ 1.7% (=2% - ภาษี 15%)
ส่วนของ ‘กองตราสารหนี้ทั่วไป” ก็ต้องเสียภาษี 15% สำหรับตราสารหนี้ที่ลงทุนใหม่หลังกฎหมายบังคับใช้ กลุ่ม ‘กองทุนผสม’ ที่ลงทุนทั้งหุ้นและตราสารหนี้ ในส่วนของตราสารหนี้ต้องเสียภาษี 15% เช่นกัน
ภาษีที่ “กองทุนตราสารหนี้” ต้องเสียจากการลงทุนในตราสารหนี้
|
ภาษี (เดิม) |
ภาษี (ใหม่) |
ดอกเบี้ย (Coupon) |
ยกเว้น |
หักภาษี 15% |
ส่วนลด (Discount) |
ยกเว้น |
หักภาษี 15% |
กำไรจากการขาย (Capital Gain) |
ยกเว้น |
ยกเว้น |
ที่มา : รวบรวมโดย Wealthythai.com
“หากมองในส่วนของกองตราสารหนี้ทั่วไปที่เป็น “กองทุนเปิด” คงต้องไปดูโครงสร้างของผลตอบแทนที่จะมาจากทั้ง 1) ดอกเบี้ยรับ (Coupon) หรือส่วนลด (Discount) และ 2) กำไร/ขาดทุน (Capital Gain/Loss) จากการลงทุน ซึ่งผลกระทบจากกฎหมายใหม่นี้จะกระทบเฉพาะส่วนของดอกเบี้ยและส่วนลดเท่านั้น ซึ่งโดยธรรมชาติของกองทุนตราสารหนี้ที่เป็นกองทุนเปิดนั้น โครงสร้างของผลตอบแทนหลักน่าจะมาจาก ‘กำไร/ขาดทุน’ เป็นสำคัญ ดังนั้น ผลกระทบจากกฎหมายใหม่นี้กับกองทุนเปิดตราสารหนี้เองก็คงมีจำกัดเช่นเดียวกัน”
โดยได้ยกเว้นภาษีให้กับการลงทุนในตราสารหนี้ของกลุ่ม ‘กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)’ , ‘กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)’ และ ‘กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD)’ เพื่อเป็นการส่งเสริมการออมเพื่อการเกษียณอายุนั่นเอง
ท้ายสุดนักลงทุนเองคงไม่ต้อง ‘กังวล’ อะไรมากนัก เพราะเชื่อว่ากลไกตลาดจะ ‘ปรับสมดุล’ ได้เอง ฝั่ง ‘ผู้ออกตราสารหนี้’ อาจต้องปรับเพิ่มผลตอบแทนให้สูงขึ้น หากดีมานด์การลงทุนจากฝั่ง ‘กองทุน’ หายไป สิ่งสำคัญ คือ การจัดสรรเงินลงทุน (Asset Allocation) ให้เหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงินของตัวคุณเองมากกว่า