ดีลประวัติศาสตร์ VGI ผนึก PLANB ขึ้นแท่น OUT OF HOME อาเซียน !!

>>

อุตสาหกรรมสื่อนอกบ้าน หรือ Out Of Home ยังคงได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้ประกอบการที่ต้องการใช้พื้นที่ลงโฆษณาอย่างต่อเนื่อง เพราะเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้ง่าย และมีพื้นที่หลากหลายให้เลือก ซึ่งบางคนอาจจะนึกภาพไม่ออกว่าสื่อนอกบ้านที่ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ป้ายบิลบอร์ดที่ติดตามตึกต่างๆ จอแอลซีดีตามแยกไฟแดง หรือแม้แต่โฆษณาที่อยู่บนรถสาธารณะทั้ง รถเมล์ รถไฟฟ้า BTS MRT ก็เป็นสื่อนอกบ้านเช่นเดียวกัน

และด้วยความต้องการพื้นที่โฆษณาสื่อนอกบ้านที่เพิ่มขึ้น ทำให้การแข่งขันของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสื่อดุเดือดตามไปด้วย ยิ่งใครมีพื้นที่ในมือมากกว่ายิ่งได้เปรียบ โดยล่าสุด บริษัท วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ VGI ประกาศเข้าลงทุนใน  บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANB

ด้วยการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน 352,960,736 หุ้น และซื้อหุ้นจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม 4 ราย ได้แก่ (1) บริษัท แพลน บีอินเวสเม้นท์โฮลดิ้ง จำกัด, (2) บริษัท เอ๊าท์ดอร์ มีเดีย อินเวสเม้นท์ จำกัด1 , (3) ดร. พินิจสรณ์ ลือชัยขจรพันธ์ และ (4) พีที อีลัง มาโคตา เทคโนโลยี ทีบีเคอ จำนวน 368,843,969 หุ้น รวมเป็นจำนวน 721,804,705 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้น 18.6% ในราคาหุ้นละ 6.40 บาท รวมเป็นเงิน  4.6 พันล้านบาท

การเข้าลงทุนใน PLANB ครั้งนี้ จะทำให้ VGI กินรวบส่วนแบ่งการตลาดของสื่อนอกบ้านได้กว่า 70% เลยทีเดียว!! นอกจากนี้ ยังช่วยผลักดันให้ทั้งสองบริษัทเป็นผู้นำในตลาดสื่อนอกบ้านของไทย ด้วยกำลังผลิตสื่อมูลค่ารวมกันกว่า 12,000 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่ 77 จังหวัดทั่วประเทศ และภูมิภาคอาเซียน 

VGI ผู้นำ Offline-to-Online Solutions

VGI เป็นผู้ประกอบการสื่อโฆษณานอกบ้าน มีมูลค่าสื่อในมือกว่า 7,000 ล้านบาท ซึ่งสิ่งที่ทำให้ VGI แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ คือ เอกลักษณ์เฉพาะตัว จากการผสมสื่อออนไลน์และออฟไลน์ไว้ด้วยกัน ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลจาก แรบบิท กรุ๊ป จนเกิดเป็นบริการ Offline-to-Online (“O2O”) Solutions ทำให้สามารถเชื่อมโยงอีโคซิสเต็ม (ecosystem) ที่ประกอบด้วย 3 แพลตฟอร์ม ได้แก่ ธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้าน  ธุรกิจให้บริการชำระเงิน และธุรกิจโลจิสติกส์ มาไว้ด้วยกัน ช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างครบวงจร

(ตัวอย่างสื่อโฆษณา VGI)

ที่มา : บมจ.วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย 

โดยแบ่งธุรกิจหลักของ VGI ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ

1. ธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้าน ได้แก่ สื่อโฆษณาในระบบขนส่งมวลชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ

  • สื่อโฆษณากลางแจ้ง
  • สื่อโฆษณาในอาคารสํานักงาน
  • สื่อโฆษณาในสนามบิน
  • การสาธิตสินค้า

2. ธุรกิจบริการด้านดิจิทัล ได้แก่

  • ธุรกิจเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-money) ให้บริการบัตรแรบบิท ดำเนินงานโดย บริษัท บางกอก สมาร์ทการ์ด ซิสเทม จำกัด (BSS) และ บริษัท แรบบิท ไลน์ เพย์ จํากัด
  • ธุรกิจบริการ Web Portal หรือเว็บท่า
  • ธุรกิจนายหน้าประกันและธุรกิจเทเลมาร์เก็ตติ้ง ดำเนินงานโดย กลุ่มบริษัท แรบบิท อินเตอร์เน็ต จํากัด ซึ่งถือหุ้นผ่าน บริษัท บีเอสเอส โฮลดิ้งส์ จำกัด (BSSH) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ VGI
  • ธุรกิจสื่อโฆษณาแบบผสมผสานสื่อออฟไลน์และสื่อออนไลน์ ซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลโดย Rabbit Group

 

โครงสร้างรายได้

ที่มา : รายงานประจำปี 2561


PLANB เป็นมากกว่าบริษัทสื่อโฆษณา

ดูธุรกิจของ VGI กันแล้ว ลองกลับมาดูธุรกิจของ PLANB กันบ้าง โดย PLANB เป็นผู้ประกอบการสื่อโฆษณานอกบ้านที่มีประเภทสื่อหลากหลาย ทั้งจอดิจิตอลรวม 3,000 จอ ป้ายบิลบอร์ดรวม 1,500 ป้าย และสื่อบนรถประจำทางปรับอากาศทั่วกรุงเทพฯอีก 2,500 คัน ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ลาว และฟิลิปปินส์

 

แบ่งธุรกิจออกเป็น 6 ประเภท ได้แก่

  1. สื่อโฆษณาบนระบบขนส่งมวลชน
  2. สื่อโฆษณาภาพนิ่ง
  3. สื่อโฆษณาดิจิตอล
  4. สื่อโฆษณาภายในห้างสรรพสินค้า
  5. สื่อโฆษณาภายในสนามบิน
  6. สื่อโฆษณาออนไลน์ (Online Media)

นอกเหนือจากธุรกิจสื่อโฆษณาแล้ว PLANB ยังพัฒนาธุรกิจการตลาดแบบมีส่วนร่วม หรือ Engagement Marketing ผ่านคอนเทนท์ที่มีคุณภาพ 3 ประเภท คือ กีฬา ดนตรี และ อี-สปอร์ต ซึ่งจะช่วยสร้างความผูกพันระหว่างผู้บริโภคกับแบรนด์สินค้าและบริการ ทำให้ PLANB เป็นบริษัทสื่อนอกบ้านที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในอุตสาหกรรม โดยมีการเติบโตเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีของรายได้อยู่ที่ 24% และมีรายได้สำหรับปี 2561 อยู่ที่ 4,039 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.3% จากปี 2560

โครงสร้างรายได้

ที่มา : บมจ.แพลน บี มีเดีย

ผนึกจุดแข็งหนุนการดำเนินงานในอนาคต

จะเห็นได้ว่า VGI และ PLANB มีจุดเด่นที่คล้านคลึงกัน คือ สื่อโฆษณานอกบ้านซึ่งมีจำนวนมาก อ่านถึงตรงนี้อาจจะงงว่า ในเมื่อทำธุรกิจเหมือนกัน มีจุดเด่นคล้ายคลึงกัน แล้วจะช่วยสนับสนุนการดำเนินงานอย่างไร? ลองยกตัวอย่างง่ายๆ VGI มีพื้นที่โฆษณาบนบีทีเอส ในขณะที่ PLANB มีพื้นที่โฆษณาในเอ็มอาร์ที เมื่อทั้งสองบริษัทร่วมมือกัน เท่ากับว่าจะคุมพื้นที่สื่อบนรถไฟฟ้า ซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจหลักในการเดินทางของคนกรุงเทพ!!!

ยิ่งไปกว่านั้นการใช้ประโยชน์จากความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการส่งเสริมการขายรูปแบบใหม่ๆ รวมถึงโซลูชั่นส์ทางการตลาดที่ครบวงจร ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเพิ่มโอกาสในการพัฒนาธุรกิจซึ่งนำไปสู่การสร้างรายได้และกำไรโดยรวมในอนาคต

ในด้านราคาหุ้นของ VGI ก็เหมือนจะตอบรับข่าวครั้งนี้เป็นอย่างดี โดยปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง และปิดตลาดวานนี้ (28 มีนาคม 2562) ที่ 8.80 บาท บวกขึ้น 4.76% หรือเพิ่มขึ้น 0.40 บาท และมีมูลค่าซื้อขาย 469.53 ล้านบาท


(ตัวอย่างสื่อโฆษณา PLANB)

ที่มา : เว็บไซต์ planbmedia

 

เมื่อ VGI และ PLANB ไม่มองแค่ประเทศไทย แต่มองไกลยึดอาเซียน

อย่างไรก็ตาม การเข้าซื้อ PLANB ของ VGI  จะเป็นการฮุบตลาดสื่อในประเทศได้สำเร็จ แต่สิ่งที่ต้องจับตาต่อไป คือการบุกตลาดต่างประเทศ ที่ทั้ง 2 ค่ายต่างมีเป้าหมายที่ตรงกันต้องการเป็นเจ้าของสื่อ out of home ในอาเซียน  ซึ่งที่ผ่านมา กลุ่ม BTS ซึ่งเป็น บริษัทแม่ ของ VGI มีนโยบายที่ชัดเจนที่จะขยายตลาดในต่างประเทศ จากความต้องการเข้าไปลงทุนโครงการรถไฟฟ้าในต่างประเทศ และในด้าน VGI พึ่งได้ทำสัญญาการเข้าลงทุนในสื่อธุรกิจโฆษณาในประเทศมาเลียเซีย เมื่อปลายปีที่ผ่านมา

ประกอบกับแผนธุรกิจ ของ PLANB ก็ต้องการขยายตลาดในต่างประเทศเช่นกัน โดย PLANB มีแนวคิดว่า หากสามารถยึดความเป็นผู้นำสื่อในต่างประเทศโดยเฉพาะในอาเซียนได้สำเร็จ การวางเม็ดเงินโฆษณาของผู้ประกอบการรายใหญ่จะมีสัดส่วนที่ต้องลงในสื่อของ PLANB มากขึ้น ทำให้ PLANB จะเป็นผู้กำหนดเม็ดเงินของอุตสาหกรรมโฆษณาในภูมิภาค และโยกศูนย์กลางของเม็ดเงินโฆษณาจากสิงคโปร์ มายังประเทศไทยให้จนได้ 

ขณะที่ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีมุมมองเป็นบวก เพราะการลงทุนครั้งนี้จะช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองในอุตสาหกรรมสื่อนอกบ้านซึ่งเป็นสื่อที่ยังเติบโต และย้ายมาสู่ Media Operator ซึ่งจะส่งผลดีต่อราคาให้บริหาร (pricing) ในระยะยาว นอกจากนี้ VGI ยังมีความเข้มแข็งทางการเงินพอสำหรับการซื้อหุ้นครั้งนี้ อีกทั้งจะได้รับประโยชน์ผ่านทางเงินปันผล ที่จะมีผลกับกำไรสุทธิประมาณ 2-5% ใน 1-2 ปีข้างหน้า ตามลำดับ ดังนั้นจึงแนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสมก่อนปรับที่ 10.20 บาท

บล.เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองเป็นบวกต่อการเข้าลงทุนครั้งนี้เช่นเดียวกัน เพราะมองว่าราคาหุ้น PLANB ที่ VGI ซื้อไม่แพง เมื่อเทียบกับประโยชน์ที่จะได้รับ โดยคาดว่าจะได้เห็นการ Synergy ระหว่างสื่อนอกบ้านของ VGI และ PLANB ผ่านการบริหารจัดการร่วมกัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราการใช้ (Utilization rate) เช่น การจัดทำ Bundle package สื่อที่มี Utilization rate ต่ำ, ทำ package ซื้อจอดิจิทัลทั่วกรุงเทพทั้งของ PLANB และ VGI เพื่อลงโฆษณา

และร่วมกันพัฒนาสื่อนอกบ้าน สนับสนุนให้ VGI ก้าวสู่ผู้นำการให้บริการด้าน O2O Solutions รวมถึงการใช้ Big Data และ Engagement marketing ร่วมกันจะทำให้เกิดการประหยัดค่าใช้จ่าย (Economy of scale) อีกทั้งอำนาจต่อรองที่เพิ่มขึ้นจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการขายลง

อย่างไรก็ตามแหล่งเงินทุนที่ VGI ใช้ในการเข้าลงทุนจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัทฯ และเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน จากสมมติฐานคาดว่า VGI จะกู้เงินจากสถาบันประมาณ 30% ของมูลค่าทั้งหมด และดอกเบี้ยน่าจะอยู่ที่ 55 ล้านบาทต่อปี ดังนั้นคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบรายได้จากเงินปันผล (Dividend Income) เพราะสัดส่วนการถือหุ้นต่ำกว่า 20%

โดยปี 61/62 VGI จะได้รับเงินปันผลอยู่ที่ 32 ล้านบาท (จากจำนวนหุ้นที่ซื้อจากผู้ถือหุ้นเดิม) ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำไรสุทธิให้ VGI ที่ 25.7 ล้านบาท ส่วนปี 62/63 คาดว่า VGI จะได้รับเงินปันผลอยู่ที่ 73.6 ล้านบาท (คิดจากกำไรสุทธิของ PLANB ที่ 793 ล้านบาท และอัตราการจ่ายเงินปันผล 50%) คาดช่วยเพิ่มกำไรสุทธิของ VGI ที่ 58.8 ล้านบาท