“บลจ.ไทยพาณิชย์”...ปันผล ‘SCBNK225D’ & ‘SCBLEQ’

>>

“บลจ.ไทยพาณิชย์”...โชว์ผลงานจ่ายปันผล 2 กอง FIF หุ้นญี่ปุ่น-หุ้นผันผวนต่ำชูหุ้นยังน่าสนใจลงทุน เหตุเงินเฟ้อทั่วโลกยังต่ำ หนุนธ.กลางใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายหนุนเศรษฐกิจโตต่อเนื่อง


นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ จำกัด
เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนหุ้นที่ลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นและกองทุนหุ้นผันผวนต่ำ พร้อมกันทั้ง 2 กองทุน ในวันที่ 24 เม.ย. 19  ประกอบด้วย กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นญี่ปุ่น-ชนิดจ่ายเงินปันผล (SCBNK225D)’ ซึ่งเป็นกองทุน 4 ดาวมอร์นิ่งสตาร์ สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 ต.ค.18 - 31 มี.ค.19 และกำไรสะสม จ่ายปันผลในอัตรา 0.2398 บาทต่อหน่วย ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 9 รวมจ่ายปันผลทั้งสิ้น 3.0111 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งกองทุนเมื่อ 11 ต.ค. 13) โดยมีผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 11.81% (ข้อมูล ณ วันที่ 19 เม.ย.19)


และ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้น LOW VOLATILITY (SCBLEQ)’ สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 เม.ย.18- 31 มี.ค.19 และกำไรสะสม จ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.1972 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 6 รวมจ่ายปันผล 1.0310 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งกองทุนเมื่อ 28 เม.ย. 16) โดยมีผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 11.45% (ข้อมูล ณ วันที่ 18 เม.ย.19) 


( นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย )


“ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.18 - 31 มี.ค. 19 ดัชนี Nikkei225 โดยรวมปรับตัวลดลง สาเหตุหลักๆ มาจากการได้รับแรงกดดันมาจากนโยบายการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐที่ตัดสินใจเพิ่มกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศจีน รวมไปถึงการพิจารณาการตั้งกำแพงภาษีบนสินค้าประเภทรถยนต์และอะไหล่รถยนต์ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศญี่ปุ่น ประกอบกับผลประกอบการของธุรกิจจดทะเบียนภายใต้ตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นที่ออกมาแย่กว่าคาด ราคาน้ำมันที่ลดลงและแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลกลดลง ทำให้ ดัชนี Nikkei225 ปรับลดลงประมาณ 20%


“อย่างไรก็ตามในช่วงปี 2019 ดัชนีฯ สามารถกลับตัวขึ้นมาได้ประมาณ 10% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการคลายความกังวลเรื่องความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมถึงท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐที่มีท่าทีเข้มงวดน้อยลง อีกทั้งเรื่องนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่นเองที่ยังคงมาตรการผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง”


นายณรงค์ศักดิ์ ยังกล่าวอีกว่า ในระยะถัดไปคาดว่าจากการที่อัตราเงินเฟ้อในประเทศหลักต่าง ๆ ยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ธนาคารกลางจะยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวต่อไปได้ ซึ่งในภาวะเช่นนี้จะเป็นภาวะที่เอื้อให้การลงทุนในตราสารทุนยังสามารถที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อนักลงทุนได้ ทั้งนี้ปัจจัยที่แนะนำให้นักลงทุนจับตามองคือราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และผลการพิจารณากำแพงภาษีสินค้าประเภทรถยนต์และอะไหล่รถยนต์ อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อราคาตลาดหุ้นญี่ปุ่นโดยรวมได้