เมื่อวานศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 7 ต่อ 2 ไม่รับวินิจฉัยสูตรคำนวณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ปาร์ตี้ลิสต์ โดยระบุว่ายังไม่ปรากฎว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ใช้อำนาจหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะรับไว้พิจารณาวินิจฉัยได้
ทีนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อ?
อย่างที่ศาลท่านระบุครับ คือกกต.ยังไม่ได้ใช้อำนาจกำหนดสูตรคำนวณเลยว่าตกลงจะเอาแบบไหน ศาลท่านจึงรับพิจารณาไม่ได้ ก็ต้องกลับมาที่กกต.ละว่าจะเอาสูตรไหน
- ใจกล้าที่จะเอาสูตรที่ตั้งใจไว้เดิม ที่จะคิดทุกคะแนนของทุกพรรคไม่ให้ตกน้ำ ด้วยการยึดพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มาตรา 128 (1),(2),(3),(6),(7) ซึ่งจะทำให้มีพรรคที่ได้ส.ส. มีกว่า 26 พรรค
- กลับใจและใช้สติมายึดรัฐธรรมนูญมาตรา 91 (4) และพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มาตรา 128 ตั้งแต่ (1),(2),(3),(4),(5),(6),(7) โดยเฉพาะ (5) ซึ่งจะทำให้พรรคที่ได้คะแนนรวมทั้งประเทศต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ไม่สามารถมีส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อได้ กรณีนี้จะมีเพียง 14-16 พรรคเท่านั้นที่จะได้ส.ส.เข้าสภาฯ
ความต่างระหว่าง 2 สูตร อยู่ตรงที่สูตร 1 มองข้ามในสิ่งที่สูตร 2 ยึดคือรัฐธรรมนูญมาตรา 91 (4) และพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.มาตรา 128 (5)
แต่จะมีใจความสำคัญที่เหมือนกันคือ
- ถ้าพรรคการเมืองได้ส.ส.เขตมากกว่าส.ส.ที่พึงได้ ให้พรรคนั้นได้จำนวนส.ส. ตามส.ส.เขต และไม่มีสิทธิ์ได้รับส.ส.บัญชีรายชื่อ
- ให้นำส.ส.บัญชีรายชื่อทั้งหมดไปจัดสรรให้กับพรรคการเมืองที่มีส.ส.เขตน้อยกว่าส.ส.ที่พึงได้ตามอัตราส่วน แต่ต้องไม่ให้พรรคการเมืองใดได้ส.ส.เกินกว่าส.ส.ที่พึงได้
ความสำคัญอยู่ที่ท่อนสุดท้าย “ต้องไม่ให้พรรคการเมืองใดได้ส.ส.เกินกว่าส.ส.ที่พึงได้” ดังนั้นถ้ายึดตามรัฐธรรมนูญก็เป็นอันชัด พรรคไหนได้คะแนนรวมทั้งประเทศต่ำกว่าค่าเฉลี่ยก็ไม่ควรได้ส.ส. บัญชีรายชื่อ
ถ้าถามผมว่าสูตรไหนจะถูกต้องมากกว่ากัน เอาตรงๆ จากความคิดเห็นส่วนตัว ซึ่งเคยเป็นนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์และเคยได้คะแนนคณิตศาสตร์ Top ของรุ่น และเคยเรียนคณะนิติศาสตร์ภาคบัณฑิตของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มาแล้วนั้น ก็ต้องยึดสูตร 2 เป็นหลัก แต่อย่างว่าผมไม่ใช่กกต. ดังนั้นก็ต้องอยู่ที่ท่านจะว่าอย่างไรก็ต้องตามนั้น
สูตรในการคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อ จะมีผลโดยตรงต่อการรวบรวมเสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาล ถ้ายึดตามสูตร 1 ฝั่ง 7 พรรคการเมือง อันประกอบไปด้วย เพื่อไทย อนาคตใหม่ เสรีรวมไทย เศรษฐกิจใหม่ ประชาชาติ เพื่อชาติ พลังปวงชนไทย จะรวมเสียงได้ 246 เสียง เหลือ 254 เสียง ให้พรรคพลังประชารัฐไปรวบรวม (ไม่นับกรณีการแจกใบเหลือง ใบส้ม ใบแดง การนับคะแนนใหม่ การเลือกตั้งแต่ละหน่วยหรือเขตใหม่)
แต่ถ้าไปเอาสูตร 2 ฝั่ง 7 พรรคจะรวมเสียงได้ถึง 252 เสียง เหลือให้พรรคพลังประชารัฐไปรวบรวมเพียง 248 เสียง ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าสูตรไหนเอื้อประโยชน์ให้กับใคร
มาถึงบรรทัดนี้ต้องถามใจกกต.ว่าจะกล้าใช้สูตร 1 ไหม จริงอยู่ว่าสามารถยืนยันเสียงแข็งว่าทำตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.มาตรา 128 แต่ขอโทษนะครับอย่าลืมว่า พ.ร.ป.เป็นเพียงกฎหมายลูกของรัฐธรรมนูญ ตามหลักกฎหมายแล้ว รัฐธรรมนูญคือกฎหมายสูงสุด ซึ่งมันเห็นชัดๆ อยู่แล้วว่า สูตร 1 มีโอกาสที่จะขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 91 (4) และพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.มาตรา 128 (5) หากดึงดันใช้สูตร 1 รับรองได้เลยว่าต้องมีการไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าการใช้อำนาจของกกต.ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
ย้ำอีกครั้ง ถ้าคุณกล้า...ก็ทำดิครับ
ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่จะมีผลต่อตลาดหุ้นอย่างไร ผมคิดว่าไม่ว่าทางไหนก็เป็นปัจจัยลบทั้งนั้น
กรณีที่ 1 ถ้ากกต.ประกาศผลการเลือกตั้งในวันที่ 9 พฤษภาคม 2562 ด้วยการรับรองส.ส.ระบบเขตเกิน 95% และรับรองส.ส.บัญชีรายชื่อด้วยการเลือกสูตร 1 ตลาดหุ้นจะตอบรับเชิงบวกต่อความคาดหวังการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก แต่จะตลาดจะสดใสได้ไม่นาน ก็ต้องมานั่งกังวลต่อการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าการใช้สูตรดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
เรื่องเตรียมยาวววว ตลาดเตรียมซีด
เพราะกว่าจะรู้ว่าขัดหรือไม่ขัด ก็ต้องหลังจากมีการเปิดสภาฯ และเลือกตัวนายกรัฐมนตรีไปแล้ว ซึ่งถ้าผลการวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญ การเลือกตัวนายกรัฐมนตรีก็เตรียมเป็นโมฆะได้เลย
กรณีที่ 2 ถ้ากกต.ประกาศรับรองส.ส.เขตเกิน 95% และรับรองส.ส.บัญชีรายชื่อ จากสูตร 2 ตลาดหุ้นอาจมึนๆ และเคลื่อนไหวในทางลบ เพราะเกิดความกังวลว่าจะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้ ตลาดอาจแกว่งตัวตามกระแสข่าวรายวันในการดูดงูเห่า แต่สุดท้ายก็เชื่อว่าหน้าตาการจัดตั้งรัฐบาลคงดูเละเทะ และตลาดไม่น่าจะแฮบปี้แน่นอน
ผมเคยเขียนไปหลายครั้งแล้วว่า ความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นปัจจัยลบ ต่อเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวให้ย่ำแย่ลงไปอีก และแม้ว่าจะจัดตั้งรัฐบาลได้ หน้าตาและความเชื่อมั่นของรัฐบาลก็เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย หรือเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากปริ่มๆ แบบผสมร้อยพ่อพันแม่ ก็รังแต่จะสร้างความหดหู่ ความน่าเชื่อถือในสายตาต่างชาติแทบไม่เหลือ เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ตลาดหุ้นจะยังดีอยู่ไหม
เอาตรงๆ เบื่อที่จะคิด