ส่องหุ้น TNR หลังได้สิทธิ์ขายและทำตลาด PLAYBOY ปั้นเรือธงใหม่เจาะตลาดถุงยางทั่วโลก
>>
ครบ 1 ปีกับ 1 เดือน หลัง TNR หรือ บมจ.ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตี้ เข้าซื้อสิทธิ์การขายและทำการตลาดถุงยางอนามัยและผลิตภัณฑ์เจลหล่อลื่นแบรนด์ PLAYBOY แบบโกลบอล ไลเซนส์ ทั่วโลกรวม 188 ประเทศ นับเป็นหนึ่งในบริษัทของคนไทยไม่กี่แห่งที่ได้รับสิทธิ์ในแบรนด์ชั้นนำระดับโลก
ล่าสุด TNR เพิ่งจัดอีเวนต์ใหญ่ PLAYBOY GLOBAL SUMMIT & THELEGEND PARTY 2019 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เพื่อเปิดตัวแพ็กเกจจิ้งใหม่ ถุงยาง PLAYBOY รุ่นใหม่ และภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่
ขณะที่ราคาหุ้น TNR มีความเคลื่อนไหวปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนความคาดหวังว่า PLAYBOY จะเป็น ‘เรือธง’ ลำใหม่ที่จะสร้างการเติบโตแข็งแกร่งให้แก่บริษัทฯ ส่งผลให้ราคาหุ้น ณ ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมนี้ยืนเหนือระดับ 12 บาท เทียบกับเดือนมกราคมที่ผ่านมาราคาหุ้นเคยลงไปต่ำกว่า 10 บาท
เปิดพอร์ตธุรกิจ TNR
TNR อยู่ในอุตสาหกรรมถุงยางอนามัยตั้งแต่ปี 2536 โฟกัสการผลิตสินค้า 2 กลุ่มคือ 1.ถุงยางอนามัย และ 2.เจลหล่อลื่น โดยมีโรงงานผลิตในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ก่อนขยับขยายโรงงานแห่งที่ 2 ในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง
รายได้ปัจจุบันมาจาก 3 ช่องทางหลัก พอร์ตใหญ่สุดคือธุรกิจ “รับจ้างผลิต” หรือ OEM (Original Equipment Manufacturer) ให้แก่ลูกค้าที่เป็นบริษัทหรือองค์กรเอกชนในไทยและต่างประเทศ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 67% ของรายได้รวมปีที่ผ่านมา โดยมีลูกค้าทั่วโลก ทั้งทวีปเอเชียที่เป็นตลาดใหญ่ ทวีปแอฟริกา ทวีปยุโรป-โอเชียเนีย และทวีปอเมริกา
รองลงมาคือ ช่องทาง “งานประมูล” หรืองาน Tender มีสัดส่วนกว่า 18% มาเติมเต็มอัตราการเดินเครื่องจักร เพื่อให้มีต้นทุนการผลิตต่อหน่วยต่ำ และอีกประมาณ 14% มาจาก “แบรนด์ของบริษัทฯ” หรือ OBM (Original Brand Manufacturer) คือ ONETOUCH(TM) ที่ TNR แจ้งเกิดและปลุกปั้นขึ้นเองตั้งแต่ปี 2542 และแบรนด์ “PLAYBOY” ที่ได้สิทธิ์ Global License เมื่อปีที่ผ่านมา
หนึ่งในจุดแข็งของ TNR คือเป็นโรงงานผลิตที่ได้มาตรฐานระดับโลก ทั้งจากหน่วยงานต่าง ๆ ในไทย และต่างประเทศ ถือเป็นใบเบิกทางให้ TNR สามารถผลิตสินค้าส่งขายได้ทั่วโลก และสามารถเข้าประมูลงานผลิตถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นให้แก่องค์กรในประเทศต่างๆ นอกจากนี้ถุงยางอนามัยยังถูกจัดเป็น “เครื่องมือแพทย์” ที่จะต้องผลิตสินค้าให้ได้ตามมาตรฐานแต่ละประเทศ จึงเป็นการยากที่จะมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาเพิ่มดีกรีความร้อนแรงในอุตสาหกรรม
2561 ปีแห่งการลงทุน
ปี 2561 อาจเรียกว่าปีแห่งการลงทุนของ TNR หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไฮไลท์คือ การลงทุนซื้อสิทธิ์โกลบอล ไลเซนส์ ในการขายและทำตลาดถุงยางอนามัยและผลิตภัณฑ์เจลหล่อลื่น “PLAYBOY” 188 ประเทศทั่วโลก ด้วยงบลงทุนกว่า 471 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนสถานะจากเดิมที่เป็นเพียงผู้รับจ้างผลิตแบบ OEM ให้แก่แบรนด์ PLAYBOY มาเป็นทั้งผู้ผลิต จำหน่าย และสามารถทำการตลาดได้ทั่วโลก
โดยการลงทุนครั้งนี้ TNR หมายมั่นปั้นมือจะเป็น “จิ๊กซอว์” ที่เพิ่มยอดขายสินค้าในต่างประเทศและเก็บเกี่ยวรายได้จากค่าลิขสิทธิ์แบรนด์ PLAYBOY จากคู่ค้าในประเทศต่าง ๆ เนื่องจากเป็นแบรนด์ชั้นนำที่ทั่วโลกรู้จัก
หลังจากนั้นไม่กี่เดือน TNR ก็เข้าซื้อหุ้น 100% ใน “บ๊อก เอเชีย กรุ๊ป อินเตอร์เนชั่นแนล” เพื่อใช้เป็นฐานการผลิตกล่องบรรจุถุงยางอนามัยป้อนให้แก่บริษัทฯ ซึ่งว่ากันว่าเป็นดีลที่คุ้มค่าเพราะใช้เงินลงทุนประมาณ 26 ล้านบาท แต่สามารถลดต้นทุนการผลิตแพ็กเกจจิ้งในระยะยาว
โดยหลังจากได้สิทธิ์การขายและทำตลาด PLAYBOY แล้ว ทาง TNR ได้วางตำแหน่งเป็นสินค้าจับตลาดระดับบนทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยผู้บริหารได้เดินทางพบคู่ค้าในประเทศต่าง ๆ ร่วมกันวางแผนและสนับสนุนการจัดกิจกรรมการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขาย ปรับโฉมแพ็กเกจจิ้งใหม่
ปรับพอร์ตเพิ่มยอด PLAYBOY - ONETOUCH(TM)
แผนงานปีนี้ TNR จะเร่งเครื่องเพิ่มยอดขายแบรนด์ PLAYBOY ทั้งการขยายตลาดในทวีปแอฟริกา ละตินอเมริกา และยุโรป รวมถึงอยู่ระหว่างการเจรจากับห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ในอเมริกาที่คาดว่าจะได้ข้อสรุปปลายปีนี้
ขณะที่แบรนด์ ONETOUCH(TM) ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ TNR ปลุกปั้นมากับมือและมีอายุ 20 ปีในปีนี้ ถูกวางตำแหน่งเป็นแบรนด์เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลาง สำหรับตลาดในประเทศไทยและกลุ่ม CLMV ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทย ONETOUCH(TM) ก็กำลังเพิ่มมาร์เก็ตแชร์อย่างต่อเนื่อง
โดยมีเป้าหมายที่ปักธงไว้ในปี 2563 คือการเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ในไทยเป็น 35% พร้อมทั้งเพิ่มส่วนแบ่งตลาดไล่กวด Durex ที่ยังรั้งแชมป์อยูในปัจจุบัน
OEM - PLAYBOY - ONETOUCH(TM) ตัวแปรการเติบโต
TNR ตั้งเป้าหมายยอดขายรวมในปี 2562 กว่า 1,750 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 20% หรือต้องมียอดขายเฉลี่ยไตรมาสละ 438 ล้านบาท ถือเป็นเป้าหมายที่ค่อนข้างท้าทายภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน เพราะเท่ากับว่าบริษัทฯ จะต้องผลักดันยอดขายเติบโตเกือบทุกกลุ่มธุรกิจ ได้แก่
- กลุ่ม OEM จะต้องมียอดขายเติบโต 10-15% จากปีก่อนที่ทำได้ 985 ล้านบาท
- กลุ่ม OBM แยกเป็นแบรนด์ ONETOUCH(TM) จะต้องมียอดขายเติบโตประมาณ 20% จากปีก่อนที่ทำได้ 128.6 ล้านบาท และแบรนด์ PLAYBOY จะต้องมียอดขายเติบโต 250% หรือ 2.5 เท่า จากปีก่อนที่ทำได้ 74.6 ล้านบาท
- กลุ่ม Tender จะต้องมียอดขายทรงตัวหรือใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เน้นเข้าประมูลงานที่แข่งขันด้านคุณภาพมากกว่าแข่งขันราคา
โดย TNR จะต้องมุ่งรักษาฐานลูกค้าเดิมพร้อมกับเร่งขยายตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะตลาดในจีนและอเมริกาที่มีโอกาสเพิ่มยอดขายได้อีกในอนาคต