ถ้าวันนี้คุณต้องเกษียณ...จะมี ”แหล่งเงิน” ไหนบ้างมั้ย? ที่คุณนึกถึง
ทำงานมาทั้งชีวิต สุดท้ายก็ต้องเกษียณ...จะโดยสมัครใจหรือไม่ก็ตาม แล้วเมื่อวันนั้นมาถึง ก็อย่าลืมว่า...คุณมี ‘แหล่งเงินเกษียณ’ ตามสิทธิที่พึงได้อยู่ด้วย
หลายคนไม่ทราบ จน ‘ทิ้งเงิน’ เกษียณเหล่านี้ไว้โดยไม่รู้ตัว
หลายคนจนวันนี้ก็ยังไม่ทราบเลยว่า...มี ‘เงินเกษียณ’ เหล่านี้อยู่ด้วย
ครั้งนี้ ทีมงาน ‘Wealthythai’ จะพาคุณไปค้นหา 3 ‘แหล่งเงินเกษียณ’ พึงมีของแรงงานไทย ถ้าคุณมีสิทธิก็ไม่ควรละเลย
เงินชดเชยตามกฎหมาย
เรามาดูแหล่งเงินก้อนแรกกันก่อนเลย เรียกว่า เป็นสิทธิที่แรงงานทุกคนพึงมีตามตัวบทกฎหมายนะ ถ้าคุณเกษียณในบริษัทที่คุณทำงานมาต่อเนื่อง ‘มากกว่า 10 ปี’ ก่อนที่คุณจะเกษียณ คุณจะได้รับ ‘เงินชดชยตามกฎหมาย’ เท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน ซึ่งส่วนใหญ่ที่ผ่านมาเราจะโฟกัสกันที่เงินชดเชยก้อนนี้เป็นสำคัญ ส่วนหนึ่งก็เรียกว่าช่วงสุดท้ายของการทำงาน นี่ก็เป็น ‘สิทธิพึงได้’ แต่คนทำงานหลายคนก็ยังไม่ทราบในเรื่องนี้
“ในมาตรา 118 ของ ‘พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541’ กำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับลูกจ้าง ในกรณีที่เลิกจ้าง ซึ่งรวมถึงกรณีเกษียณอายุด้วย”
จำนวนเงินชดเชย ก็จะขึ้นกับอายุงาน (ทำงานติดต่อกัน) ที่ทำในบริษัทนั้นด้วย ซึ่งเชื่อว่าแรงงานส่วนใหญ่ก็คงไม่มีใครอยากเปลี่ยนงานบ่อย อยากเกษียณไปกับบริษัทที่ตัวเองทำงานด้วย นั่นก็คือ ‘เงินเกษียณ' สูงสุดที่คุณพึงจะได้ตามกฎหมาย
ตัวอย่าง : คุณเริ่มต้นทำงานอายุ 22 ปี เงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท เกษียณอายุ 60 ปี ระยะเวลาทำงาน 35 ปี ให้เงินเดือนขึ้น 3% ทุกปี เงินเดือนปีสุดท้ายคุณจะอยู่ที่ประมาณ 42,200 บาท ถ้าคุณทำงานก่อนเกษียณที่บริษัทเดิมมากกว่า 10 ปี คุณจะได้เงินเกษียณจากนายจ้างเป็นเงินชดเชยประมาณ 10 เดือน หรือประมาณ 422,000 บาท ไม่น้อยนะเอาไว้เป็นเงินไว้ใช้ต่อยอดชีวิตหลังเกษียณได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียว
“แต่เรามาพบเห็นเรื่องเงินชดเชยกันมากในช่วงนี้ จากกรณีที่บริษัทสื่อต่างๆ ปิดกิจการ หรือเลิกจ้างพนักงานนั่นเองโดยลูกจ้าง ‘ไม่เป็นฝ่ายผิด’ จะถูกเลิกจ้าง ไล่ออก เกษียณ หรือหมดสัญญาจ้างคุณก็มีสิทธิตามนี้ แต่ถ้าสมัครใจลาออกเองหรือถูกไล่ออก (แต่คุณผิด) จะหมดสิทธินะ นี่คือแหล่งเงินเกษียณก้อนแรกของคนทำงานเลยที่ควรรู้ไว้”
เงินประกันสังคม-กรณีชราภาพ
เป็นอีกแหล่งเงินสำหรับคนวัยเกษียณที่ไม่ควรละเลย เพราะหนึ่งในความคุ้มครองที่ “ประกันสังคม” ให้กับผู้ประกันตนก็คือ ความคุ้มครองใน ‘กรณีชราภาพ’ นั่นเอง หลายคนถูกหักเงินประกันสังคมทุกเดือนแต่ไม่เคยใช้สิทธิอะไร ก็รู้สึกว่าไม่คุ้มเอาเสียเลย แต่ที่ไหนได้เงินที่ถูกหักจากลูกจ้างและนายจ้างฝ่ายละ 5% โดยรัฐบาลจะสมทบให้อีก 2.75% รวมแล้ว 12.75% เพื่อใช้เป็นสวัสดิการของสมาชิกผ่านประกันสังคม โดยให้ความคุ้มครองสมาชิกถึง 7 กรณี (ส่วนใครจะใช้หรือไม่ใช้อีกเรื่อง)
หนึ่งในนั้นคือ "ความคุ้มครองในกรณีชราภาพ" ทั้งนี้เงินที่ลูกจ้างและนายจ้างส่งเข้าประกันสังคมฝ่ายละ 5% นั้นจะเก็บไว้เป็นกรณีบำนาญฝ่ายละ 3% รวมเป็น 6% เข้ากองทุนชราภาพซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค. 1998 เป็นต้นมา ส่วนใครจะได้เป็น ‘บำเหน็จ’ หรือ ‘บำนาญ’ นั้น ตัดกันที่ตัวเลขการส่งเงินสบทบที่ ‘180 เดือน’ หรือ ’15 ปี’ เป็นสำคัญ
“สำหรับผู้ที่ส่งเงินสมทบมา ‘ไม่ครบ 180 เดือน’ จะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงิน "บำเหน็จ" ซึ่งจะต้องครบเงื่อนไข 3 ประการ คือ ส่งเงินสบทบ ‘ไม่ครบ 180 เดือน’ ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง และมีอายุครบ 55 ปี บริบูรณ์ หรือเป็นผู้ทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย”
โดยแบ่งจ่ายเป็น 2 กรณี ได้แก่
- จ่ายเงินสมทบ ไม่ถึง 12 เดือน จะได้บำเหน็จเท่ากับจำนวนเงินสมทบจ่ายเข้ากองทุน เพราะฉะนั้น ถ้าเงินเดือน 15,000 บาท และส่งเงินสมทบกรณีชราภาพเดือนละ 450 บาท จะได้เงินบำเหน็จเท่ากับ 450 บาท คูณกับจำนวนเดือนที่ส่งเงินสมทบ
- จ่ายเงินสมทบ ตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป (แต่ไม่ถึง 180 เดือน) จะได้เงินบำเหน็จชราภาพ ซึ่งมาจาก 3 ส่วน คือ เงินสมทบของสมาชิก เงินสมทบของนายจ้าง ที่สมทบมาทั้งหมด บวกกับผลประโยชน์ตอบแทนตามที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด
“แต่ถ้าคุณส่งเงินสมทบมา ‘ไม่น้อยกว่า 180 เดือน’ ก็จะได้รับผลตอบแทนในรูปของ "บำนาญ"
โดยผู้ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ตรงนี้จะต้องมีครบทั้ง 3 เงื่อนไข คือ ระยะเวลาส่ง ‘ไม่น้อยกว่า180 เดือน’ ไม่ว่าจะส่งติดต่อกันหรือไม่ก็ตาม อายุครบ 55 ปี บริบูรณ์ และความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง”
โดย ‘อัตราเงินบำนาญรายเดือน’ จะเท่ากับ 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท แต่ถ้าจ่ายเงินสมทบ ‘มากกว่า 180 เดือน’ ได้รับเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบทุก 12 เดือน (เศษเกินปัดทิ้ง) นั่นจะทำให้คนที่มีสิทธิได้รับเงินบำนาญจะได้รับเงินบำนาญ 3,000 -7,500 บาทต่อเดือน ขึ้นกับระยะเวลาในการส่งเงินสบทบของคุณเป็นสำคัญ
“แต่ไม่ว่าจะเลือกรับ ‘บำเหน็จ’ หรือ ‘บำนาญ’ คุณก็ต้องไปยื่นคำขอที่สำนักงานประกันสังคมที่สะดวก ยื่นที่ไหนก็ได้ แต่ต้องไปยื่นเพื่อขอรับสิทธิ ‘ภายใน 2 ปี’ นับจากวันที่มีสิทธิได้รับประโยชน์กรณีชราภาพ หรือวันที่สิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตน ที่ผ่านมามีหลายคนสูญเสียเงินก้อนนี้ไปเพราะไม่ได้ไปยื่นรักษาสิทธิของตัวเองเอาไว้นั่นเอง ยื่นแล้วคุณจะได้รับเงินก็ตอนเกษียณนะ แต่รักษาสิทธิเอาไว้ก่อน อย่าลืม”
เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
สำหรับ 2 แหล่งเงินเกษียณแรกนั้น เป็นสิ่งที่เป็นของคุณที่มากับช่วงเวลาในการทำงานของคุณ เพียงแต่ไม่เคยได้ใช้เพราะยังไม่ถึงเวลา จนหลายคนก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามี ‘แหล่งเงินเกษียณ’ เช่นนี้อยู่ด้วย หรือบางคนรู้ว่ามีแต่ไม่รู้ขั้นตอน เช่น เงินชราภาพของประกันสังคม พอออกจากงานก่อนอายุ 55 ปี หลายคนก็ไม่เคยไปยื่นใช้สิทธิเอาไว้ สุดท้ายเงินเข้าหลวง ประโยชน์ที่ตัวเองควรได้รับก็ชวดไป ก็มีให้เห็นมาตลอด
ส่วนแหล่งเงินเกษียณที่ 3 ที่เป็นสิทธิของคนไทยทุกคนนี้ เรียกว่า “เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ” ก็เป็นอีกแหล่งเงินเกษียณที่คนไทยที่เกษียณทุกคนมีสิทธินะ อาจจะไม่ได้มากมายอะไร แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย จริงมั้ย?
“เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ” คือ สวัสดิการที่รัฐมีไว้เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ หรือเบี้ยยังชีพ ผู้สูงอายุ นับว่าเป็นอีกสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่ภาครัฐจัดสรรไว้ให้กับผู้สูงอายุ คือ ‘บุคคลที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป’ เพื่อเป็นเงินช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายการดำรงชีวิตในแต่ละเดือน
“เมื่ออายุครบ 60 ปี คนไทยที่มีสัญชาติไทยทุกคนจะมีสิทธิได้รับ “เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ” เหมือนกันหมด ยกเว้นคนที่ได้รับสวัสดิการหรือ สิทธิประโยชน์ใดๆ จากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเบี้ยยังชีพนี้จะจ่ายเป็น ‘รายเดือน’ โดยเข้าบัญชีเงินฝากภายในวันที่ 10 ของทุกเดือน ตามอัตราที่กำหนดไว้ในแต่ละช่วงอายุ ตั้งแต่ 600 – 1,000 บาทต่อเดือน”
ทั้งนี้ ผู้ที่มีสิทธิจะต้องยื่นคำขอหรือลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่สำนักงานเขตในกรุงเทพมหานคร หรือที่องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนระหว่างวันที่ 1-30 พ.ย.ของทุกปี และเริ่มจ่ายเบี้ยยังชีพให้ตั้งแต่เดือนต.ค.ปีถัดไป ดังนั้น ผู้มีสิทธิควรลงทะเบียนล่วงหน้า 1 ปี ก่อนอายุครบ 60 ปี เพื่อให้ได้รับเบี้ยยังชีพทันทีเมื่ออายุครบ 60 ปี นั่นเอง
นี่คือ ‘3 แหล่งเงินเกษียณ’ ที่เป็นสิทธิของแรงงานไทยทุกคนพึงมี บางส่วนก็เกิดขึ้นมาระหว่างช่วงเวลาที่คุณทำงานสะสมความมั่งคั่งในชีวิต บางส่วนก็เป็นสิทธิพึงมีเมื่อคุณเป็นผู้สูงอายุจากภาครัฐ เรียกว่า ‘ได้มาเอง’ จะโดยบังคับออมหรือตามสิทธิก็ตาม ดังนั้น ‘เกษียณ’ แล้ว อย่าลืมเด็ดขาด เพราะนี่คือสิทธิพึงได้โดยชอบของแรงงานไทยทุกคน