ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมาปรับตัวลง -5.8% (Bloomberg World Index) ซึ่งเป็นผลมาจากสงครามการค้าที่กลับรุนแรงขึ้นอีกครั้งจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่า 2.5 แสนล้านเหรียญฯ ทำให้เกิดความกังวลในตลาดและมีแรงเทขายหุ้นตลอดทั้งเดือน โดยนักลงทุนเริ่มเกิดความกังวลต่อทิศทางเศรษฐกิจโลกที่อาจจะชะลอตัวลงและส่งผลต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะบริษัทที่มีรายได้เกี่ยวข้องกับการส่งออก
สำหรับในเดือน มิ.ย. นี้มีปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต้องติดตามรวมทั้งกลยุทธ์ลงทุนที่ KTBST แนะนำดังนี้ครับ ประเด็นแรก คือ เรื่องสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯที่ยืดเยื้อ ยังไม่มีการประนีประนอมกันและได้ลามไปประเทศอื่นอย่างเม็กซิโก โดยการประชุม G20 ในวันที่ 28 มิ.ย. ตลาดจะติดตามท่าทีของผู้นำจีนและสหรัฐฯว่าจะมีการพบปะและเจรจากันอย่างไร ซึ่งในประเด็นเรื่องสงครามการค้านี้แม้ตลาดจะปรับตัวตอบรับสถานการณ์มาระดับหนึ่งแล้ว แต่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าจะมีมาตรการจากสหรัฐฯที่จะออกมาให้ทำตลาดเกิดความกังวลอีกหรือไม่
ทั้งนี้ผลของสงครามทำให้สถาบันการเงินต่างๆ เช่น ธนาคารโลก (World Bank) ปรับลดประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจโลกลงเหลือ 2.6% โดยผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯมีแนวโน้มอาจจะใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (QE) รวมถึงมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (FOMC) ของสหรัฐฯ ในวันที่ 18-19 มิ.ย. นี้ ทาง KTBST นั้นมองว่าเป็นผลบวกต่อประเทศต่างๆ ที่จะสามารถคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำไว้ และก็จะเห็นเงินทุนไหลเข้าตลาดรวมทั้งตลาดของไทยด้วย แต่จะเป็นการไหลเข้าตลาดพันธบัตรมากว่าตลาดหุ้น เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงอยู่
ขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศ ตลาดตอบรับในทางบวกหลังความชัดเจนในการตั้งรัฐบาลโดยพรรคพลังประชารัฐกับพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆและการได้นายกรัฐมนตรีตามที่คาดการณ์ไว้ ถือเป็นปัจจัยบวกแต่ตลาดหุ้นก็ไม่ได้สะท้อนในเชิงบวกมากนักเนื่องจากตลาดกำลังรอดูความชัดเจนของผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญทางเศรษฐกิจว่าจะออกมาเป็นอย่างไร เพราะมีผลต่อตลาดหุ้นโดยตรง
ดังนั้นแล้ว KTBST มองว่าทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นจะมีความผันผวนอยู่ แม้ภาพรวมจะดีขึ้นบ้างจากความกังวลของสงครามการค้าที่ลดลงและการเมืองของไทยที่ชัดเจนและเริ่มต้นเดินหน้าบริหารประเทศภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งทำให้บรรยากาศการลงทุนดีขึ้นและหนุนให้ SET Index ขยับตัวรับปัจจัยดังกล่าว แต่ KTBST ยังแนะนำให้นักลงทุนจับจังหวะลงทุนในช่วงสั้นๆไปก่อน โดยเน้นหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ต่อเนื่อง และหุ้นกลุ่มที่มีผลกำไรเติบโตดีและมีความเสี่ยงต่ำ (Defensive) อย่าง
- กลุ่มโรงไฟฟ้า (RATCH)
- กลุ่มอสังหาริมทรัพย์หรือรีท (WHA) และ
- กลุ่มสื่อสาร (ADVANC)
ส่วนการลงทุนในต่างประเทศ KTBST ยังแนะนำตลาดหุ้นจีนและอินเดีย ซึ่งราคาหุ้นยังน่าสนใจ กำไรบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในกลุ่มที่ได้ปัจจัยบวกจากการลงทุนของรัฐบาล
เมื่อมองภาพรวมของตลาดโลกแล้ว ในช่วงระยะสั้นนี้ตลาดยังเจอความผันผวนอยู่ ควรปรับพอร์ตลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัย เพราะสถานการณ์ต่างๆ อาจเปลี่ยนแปลงจากบวกเป็นลบได้ตลอดเวลา ซึ่งนักลงทุนสามารถติดตามข่าวสารและคำแนะนำการลงทุนจาก KTBST ได้ทาง http://www.ktbst.co.th กับทาง facebook/ktbst.th และสามารถขอคำปรึกษาการลงทุนกับ KTBST ได้ที่ 02 648 1111 ครับ
ติดตามข่าวสารการลงทุนได้จาก ”มุมความรู้” https://www.ktbst.co.th/th/knowledge.php