“บลจ.ทาลิส”...ขอแตกต่างบนเส้นทาง ‘หุ้น’ มั่นใจ AUM สิ้นปีทะลุ 1 หมื่นลบ.
>>
“บลจ.ทาลิส”...หนึ่งในบลจ.ที่ไม่ได้แตกต่างแค่ในที่ที่มา ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของอดีตผู้บริหารในแวดวงบลจ.เท่านั้น แต่ยังชูความแตกต่างในเรื่องความเชี่ยวชาญการลงทุนใน ‘หุ้นไทย’ อย่างชัดเจน ปัจจุบันขนาดสินทรัพย์สุทธิของหุ้นที่บลจ.บริหารมีประมาณ 1 ล้านล้านบาท ไม่ต้องมาแค่ 0.3% หรือประมาณ 30,000 ล้านบาท ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จแล้วสำหรับ ‘บลจ.ทาลิส’
แต่เป้าหมายในระยะยาวของบลจ.แห่งนี้มองไว้ไกลกว่านั้นมาก คือ ระดับ ‘1 แสนล้านบาท’ ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ล้วนมีที่มาที่ไปทั้งสิ้น วันนี้ทีมงาน ‘Wealthythai’ มีโอกาสพบเจอกับ 2 ผู้บริหารของค่าย ย่อมไม่พลาดที่จะเก็บเกี่ยวเอาเรื่องราวน่าสนใจมาฝากกันเช่นเคย
ปีนี้... AUM น่าจะทะลุ 10,000 ล้านบาท อยากให้นักลงทุนรู้จักเรามากขึ้น
“ฉัตรพี ตันติเฉลิม” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ทาลิส จำกัด บอกถึงแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี19 ว่า บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการให้ความรู้ด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ผ่านการจัดสัมมนากลุ่มเล็กให้ผู้ที่สนใจการลงทุนเป็นประจำทุกเดือน เพื่อให้ทั้งลูกค้าและผู้ลงทุน เข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นต่อการลงทุนในกองทุนรวม เนื่องจากสถานการณ์การลงทุนในปัจจุบันมีความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดความผันผวนค่อนข้างมาก โดยบริษัทยังมีความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการและปรับกลยุทธ์การลงทุน ให้สอดคล้องกับสภาวะในแต่ละช่วงอยู่เสมอ เพื่อรักษาอัตราผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ลงทุน เน้นการปฏิบัติตามขั้นตอนการวิเคราะห์การลงทุนของบริษัทอย่างเคร่งครัด ควบคู่กับการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการลงทุน เพื่อสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า
“ในช่วงครึ่งแรกของปี19 ที่ผ่านมา บริษัทมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) เติบโตขึ้นประมาณ 1,050 ล้านบาท แบ่งเป็นกองทุนส่วนบุคคล 1,000 ล้านบาท และกองทุนรวม 50 ล้านบาท ส่วนผลการดำเนินงานของกองทุนภายใต้การบริหารจัดการจากต้นปีจนถึงสิ้นเดือนมิ.ย.19 ที่ผ่านมา สามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระดับที่น่าพอใจ และอยู่ในอันดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม ซึ่งเราพยายามจะสร้างผลงานที่ดีอย่างสม่ำเสมอให้กับนักลงทุนในระยะยาวเป็นสำคัญ ในปีนี้ผลงานของกองทุนหุ้นที่เราบริหารก็มีผลตอบแทนที่ดีและน่าจะทำให้ภาพรวมระยะยาวของผลตอบแทนดีขึ้นด้วยเช่นกัน”
ผลงานที่ดีก็จะทำให้นักลงทุนรู้จักบริษัท และถามถึงบริษัทมากขึ้น ซึ่งนั่นก็จะนำมาสู่การที่ตัวแทนขายหรือสาขาแบงก์ต่างๆ อาจจะต้องพิจารณาถึงโพรดักต์ของบริษัทเพื่อมาตอยสนองความต้องการของลูกค้าด้วยเช่นกัน ปัจจุบันเรายังโตจากกลุ่ม ‘กองทุนส่วนบุคคล’ แต่เราก็อยากจะให้ ‘กองทุนรวม’ ของบริษัทเป็นที่รู้จักและรับรู้ของผู้ลงทุนในวงกว้างมากขึ้นด้วยเช่นกัน
“แม้บริษัทจะเป็นบลจ.ขนาดเล็ก แต่เราก็มีความชำนาญและมุ่งมั่นที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ลงทุน จากการคัดเลือกหุ้นและหาโอกาสในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายการลงทุนของลูกค้า ซึ่งเราก็หวังว่าผลตอบแทนที่ออกมาดีและสม่ำเสมอตลอดครึ่งปีแรกที่ผ่านมา จะทำให้ ‘บลจ.ทาลิส’ เป็นที่รู้จักของผู้ลงทุนมากขึ้น และเชื่อมั่นว่าจะทำให้ AUM เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้สิ้นปีประมาณ 10,000 ล้านบาท”
“นักลงทุน” อาจมองไม่เห็นความแตกต่าง...แต่เรา ‘แตกต่าง’
ฉัตรพี ยังบอกอีกว่า ในมุมของ ‘นักลงทุน’ ที่มองเข้ามายังบริษัท อาจมองไม่เห็น ‘ความแตกต่าง‘ แต่ในฐานะผู้จัดการกองทุนอย่างเราๆ รู้ว่าเรา ‘แตกต่าง’ จากบลจ.อื่นๆ แต่สิ่งเหล่านี้อาจจะมองดูหรืออธิบายให้เข้าใจได้ยาก ซึ่งมันรวมถึงปรัชญา กระบวนการคิด ตลอดจนกระบวนการลงทุน ก่อนที่จะมาปรากฎเป็น ‘ผลการดำเนินงาน’ ของกองทุนหุ้นได้เห็น ที่นี่ ‘ผู้บริหารเป็นเจ้าของ’ ด้วยในตัว ดังนั้นการเอาใจใส่ในรายละเอียดต่างๆ จึงมากกว่าที่จะเป็นแค่พนักงานทั่วไปทำงาน
“กลุ่มลูกค้าของบริษัทจึงเป็นกลุ่มคนที่มีประสบการณ์ลงทุนแล้ว และต้องเป็นคนที่ลงทุนในหุ้น ที่สำคัญต้องมีความเข้าใจการลงทุนระดับหนึ่ง ดังนั้น ถ้านักลงทุนจะลงทุนเรายังแนะนำให้มีการจัดสรรการลงทุนอย่างเหมาะสม (Asset Allocation) โดยในส่วนของหุ้นนั้น ก็ก็อยากให้นึกถึงเราด้วยเช่นกัน”
เช่นเดียวกับ “ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์” ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ทาลิส จำกัด อธิบายเพิ่มเติมว่า บริษัทแตกต่างจากบลจ.อื่นทั้งในแง่ของปรัชญาและกระบวนการลงทุน ปัจจุบันข้อมูลในอดีตเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ การวิเคราะห์พื้นฐานผ่านงบการเงิน ตัวเลขต่างๆ ซึ่งเคยใช้ได้ดีใน ‘อดีต’ แต่อาจไม่เพียงพอสำหรับอนาคต เราต้องวิเคราะห์ไปถึงข้อมูลใน ‘อนาคต’ ที่เปลี่ยนแปลงเร็วมากในโลกปัจจุบัน ที่อาจจะเข้ามากระทบจนทำให้ธุรกิจที่เคยดีล้มหายตายจากไปได้ เราทำงานหนักกว่านั้นเพราะเราเป็น ‘เจ้าของ’ เองด้วย ไม่ใช่แค่ทำงานตามหน้าที่นี่ก็คือจุดต่างที่สำคัญ
“บลจ.ทาลิส เป็นบริษัทที่บริหารแบบ Active Management ทำการบ้านเพื่อเลือกหุ้นลงทุนรายตัว ไม่ได้สนใจน้ำหนักหุ้นในดัชนี กับการบ้านที่เราได้ทำมาดีแล้วเราก็กล้าที่จะลงทุน กล้าที่จะแตกต่าง หุ้นที่เราชอบอาจจะให้น้ำหนักขึ้นไปเป็น 8 – 10% ได้เลย ในขณะที่บลจ.อื่นๆ อาจทำไม่ได้ แต่เราก็ยอมรับว่า ถ้าสิ่งที่คิด ‘ไม่ใช่’ เราก็เจ็บตัวได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ด้วยขนาดของกองหุ้นบริษัทที่มีขนาดไม่ใหญ่ ถือเป็นจุดต่างที่สำคัญเช่นกัน ทำให้เราสามารถเข้าออกได้เร็ว ทั้งในฝั่งซื้อและขาย ในกรณีที่เราคิดผิด แน่นอนเราเจ็บ แต่เราก็ออกมาได้เร็ว”
ตัวอย่าง : กองหุ้นเราขนาดรวมกัน 4,000 ล้านบาท ขายออก 5% ก็ประมาณ 200 ล้านบาท ใช้เวลาไม่นาน แต่ถ้ากองหุ้นของบลจ.ลูกแบงก์ขนาดใหญ่รวมกันกว่า 200,000 ล้านบาท จะขาย 5% ก็ประมาณ 10,000 ล้านบาท การจะออกของก็ไม่ง่าย
“ดังนั้น แนวคิดของบริษัทเองหากขนาด AUM ภายใต้การบริหารในส่วนของ ‘หุ้น’ ขยับไปแตะ 100,000 ล้านบาท เราอาจจะต้อง ‘จำกัดขนาด’ เอาไว้ เพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการ แต่คงอีกนานกว่าจะถึง อย่างน้อยก็ประมาณ 10 ปี จากนี้”
“ตลาดหุ้นไทย”...ปี2029 (อีก 10 ปี ข้างหน้า) ทะลุ 3,200 จุด
ประภาส ยังบอกอีกว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง จะมีหลายปัจจัยบวกที่ต่างจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์การเมืองในประเทศ ที่กำลังจะมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารพร้อมดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงในขณะนี้ นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางสหรัฐที่ส่งสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ย รวมถึงความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ผ่อนคลายลง ล้วนเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ต้องติดตามคือแนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียนไทย ว่าจะถูกทบทวนใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจหรือไม่
“ในมุมมองของบริษัทคาดว่า กำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ จะเติบโตได้ 5-7%จากปีก่อนหน้า ในขณะที่ SET Index คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 1,700 -1,800 จุด ในปีหน้าคาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนจะโต 7 – 10% ที่สัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) 16-18 เท่า ดัชนีน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,760-2,070 จุด ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทยังให้น้ำหนักกับหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการบริโภคภายในประเทศและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศเป็นหลัก เช่นกลุ่มพาณิชย์ กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทให้เช่าและนิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มขนส่งเป็นต้น”
การลงทุนในหุ้นอยากให้นักลงทุนมองภาพ ‘ระยะยาว’ เป็นสำคัญ ความผันผวนใน ‘ระยะสั้น’ ถือเป็นเรื่องปกติ ปีนี้กำไรบริษัทจดทะเบียนประมาณ 1 ล้านล้านบาท ดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ 1,600 จุด เราคาดว่าในปี2029 กำไรบริษัทจดทะเบียนจะขยับขึ้นไปแตะ 2 ล้านล้านบาท ดังนั้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็น่าจะขยับขึ้นไปได้ถึง 3,200 จุด ในอีก 10 ปี ข้างหน้า ถ้าคิดเป็นอัตราผลตอบแทนก็เฉลี่ยปีละ 7% ซึ่งไม่น้อยเลยทีเดียว
นอกเหนือจากการลงทุนใน ‘หุ้น’ บริษัทจดทะเบียนแล้ว ‘บลจ.ทาลิส’ กำลังมองถึงโอกาสการลงทุนในหุ้น ‘นอกตลาดฯ’ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มนักลงทุนที่มีความมั่งคั่งด้วยเช่นกัน และหวังว่า...ในอนาคตข้างหน้าจากนี้สัก 10 ปี เมื่อนักลงทุนไทยคิดถึงการลงทุนใน ‘หุ้น’ จะนึกถึง ‘บลจ.ทาลิส’ แห่งนี้ในลำดับต้นๆ ด้วยเช่นกัน